รู้ไหมโลกกำลังจะมียาคุมกำเนิดสำหรับ ‘ผู้ชาย’

3 Min
2394 Views
18 Feb 2021

Select Paragraph To Read

  • ยาคุมกำเนิดของผู้ชายทำงานยังไง?
Highlight
 
  • ปัจจุบันยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชายได้ผ่านขั้นตอนทดลองทางคลินิกระยะแรกเป็นที่เรียบร้อย
  • คาดว่าความสำเร็จในครั้งนี้จะช่วยวิธีการคุมกำเนิดให้หลากหลายมากขึ้ เพราะตามปกติ การคุมกำเนิดด้วยวิธีใช้ฮอร์โมนส่วนใหญ่มีไว้สำหรับผู้หญิง!

 

ยาคุมกำเนิด | media.allure

ถ้าหากเราพูดถึงการคุมกำเนิดด้วยการกินยา จะเป็นวิธีการคุมกำเนิดสำหรับผู้หญิงด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่ แต่รู้ไหมว่าในอนาคต เรากำลังจะมียาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชายเกิดขึ้นแล้ว

 
ยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชายผ่านขั้นตอนทดลองทางคลินิก ระยะแรกเป็นที่เรียบร้อย ความสำเร็จในครั้งนี้ช่วยสร้างความหวังที่จะเพิ่มวิธีการคุมกำเนิดให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพราะตามปกติการคุมกำเนิดส่วนใหญ่เป็นภาระของผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นการกินยา ใส่ห่วง ฝังยาคุม หรือแผ่นแปะฮอร์โมน ในขณะที่การคุมกำเนิดหลักๆ ของผู้ชายมีเพียงถุงยางอนามัยเท่านั้น (ไม่นับการทำหมันที่เป็นการคุมกำเนิดถาวร) ทั้งที่การคุมกำเนิดเป็นความรับผิดชอบของทุกฝ่าย
 
ปัญหาท้องไม่พร้อมเป็นเรื่องที่อยู่กับสังคมไทยมายาวนาน แต่ไม่ใช่เฉพาะในประเทศเราเท่านั้น ในสหรัฐอเมริกา คนท้องมากถึง 40% ไม่ได้ตั้งใจ การคุมกำเนิดด้วยวิธีการเดียวหรือฝ่ายเดียวอาจไม่มีประสิทธิภาพขั้นสูงสุด ดังนั้นทางที่ปลอดภัยคือการใช้หลายวิธีควบคู่กัน

ยาคุมกำเนิดของผู้ชายทำงานยังไง?

 
Dimethandrolone undecanoate หรือ DMAU เป็นยาชนิดรับประทานทุกวัน มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งฮอร์โมนเพศชาย 2 ชนิด คือฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโตของไข่ (follicle-stimulating hormone: FSH) และฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง (Luteinizing hormone: LH) เพื่อลดการเจริญเติบโตของอสุจิและฮอร์โมนเพศชาย
 
ข้อมูลจากวารสาร The Journal of Clinical Endocrinology and Metabolism แนะนำว่า DMAU มีศักยภาพเพียงพอจากการทดลองในขั้นแรก โดยมีผู้ทดลอง 82 คน ระหว่างช่วงอายุ 18-50 ปี โดยแบ่งกลุ่มทดลองเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกจะได้รับการยาหลอก (Placebo) ซึ่งไม่มีผลใดๆ กับร่างกาย และอีกกลุ่มจะได้รับยา DMAU ขนาด 3 โดส เป็นระยะเวลา 28 วัน โดยแต่ละคนจะคิดว่าได้ยาจริงๆ ในปริมาณเท่ากัน ผลออกมาว่าคนที่รับยามากที่สุด 400 มิลลิกรัม มีระดับฮอร์โมนเพศชาย ทั้ง testosterone, FSH, และ LH ที่ต่ำ อย่างไรก็ดี ในขั้นตอนนี้ยังไม่ได้มีการนับจำนวนอสุจิที่แน่ชัด
 
นอกจากนี้ ในการทดลองยังระบุผลข้างเคียงจากยา (ซึ่งคนที่กินยาหลอกบางรายมีอาการด้วย) เช่น บางคนมีอาการปวดหัว เป็นสิว เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ น้ำหนักเปลี่ยนแปลง
 
ภารกิจต่อไปของการศึกษาคือศึกษาว่ายามีผลยับยั้งการเจริญเติบโตของอสุจิได้มากพอหรือไม่ ซึ่งจากข้อมูลพื้นฐานระบุว่าร่างกายต้องใช้เวลาราว 90 วันในการสร้างอสุจิ การทดลองในขั้นต่อไปคือยืดระยะเวลาในการทดลองเพื่อดูว่ายาสามารถหยุดการผลิตอสุจิได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่
 
นอกจากนี้ ยังต้องมีการศึกษาเรื่องผลข้างเคียงระยะยาวอย่างจริงจังอีกครั้ง ยกตัวอย่างเช่น ไม่มีใครแน่ใจว่า DMAU เป็นสาเหตุของอาการซึมเศร้า ลิ่มเลือด หรือส่งผลกับการทำงานของไตและอวัยวะอื่นๆ หรือไม่
 
ทั้งนี้ ในปี 2012 เคยมีการศึกษาของมหาวิทยาลัย Anglia Ruskin ในสหราชอาณาจักร โดยสอบถามผู้หญิง 134 คน พบว่า 70 คนมีความกังวลว่าผู้ชายมีแนวโน้มลืมกินยาคุมกำเนิดอย่างต่อเนื่องมากกว่า
 
สุดท้ายแล้วนี่จะเป็นการเพิ่มความหลากหลายของการคุมกำเนิดให้มากขึ้นในโลกของผู้ชาย
 
เรื่องเพศไม่ใช่เรื่องน่าอาย ร่วมแชร์ความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการคุมกำเนิด ที่คุณเคยได้ยินหรือไม่แน่ใจว่าทำอย่างนี้ “จะท้องไหม?” พร้อมติด #ท้องเลือกได้ เพื่อส่งต่อให้คุณหมอมาไขข้อสงสัยได้ที่: https://www.brandthink.me/campaign/tongluekdai
 
🗨 วิธีร่วมแสดงความคิดเห็น
 
  1. เข้าเว็บไซต์ BrandThink หน้าเเคมเปญ #ท้องเลือกได้: https://www.brandthink.me/campaign/tongluekdai
  2. สมัคร หรือ ล็อกอิน เพื่อเข้าสู่ระบบ
  3. ร่วมแชร์ความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการคุมกำเนิด ที่คุณเคยได้ยินหรือไม่แน่ใจว่าทำอย่างนี้ “จะท้องไหม?”

 

อ้างอิง: