คุยกับ ‘บิ๊ก ศุภวิชญ์’ Foley Artist นักแสดงทางเสียง ถึงเบื้องหลังที่ไม่มีสูตรลัด ในการเป็นผู้เติมเต็มภาพยนตร์ให้สมบูรณ์
การที่ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งจะเสร็จสมบูรณ์ได้นั้น ย่อมอาศัยแรงกายแรงใจของผู้คนมากมาย ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ร่วมสร้างรังสรรค์องค์ประกอบต่างๆ ซึ่งนอกจากด้านภาพ แสง และสี
‘เสียง’ นับเป็นอีกองค์ประกอบสำคัญ ที่ส่งผลมากกว่าที่เราคิด ไม่ว่าจะเป็นเสียงดนตรี หรือเสียงเอฟเฟค
วันนี้ Brandthinkชวน ‘บิ๊ก ศุภวิชญ์ โพธิ์วิจิตร’ หนึ่งในฟันเฟืองเล็กๆ ของการขับเคลื่อนอาชีพ ‘Foley Artist’ (โฟลีย์ อาร์ติสต์) ผู้รังสรรค์เสียงประกอบภาพยนตร์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยคร่ำหวอดในวงการมายาวนานถึง 10 ปี อีกทั้งยังอยู่เบื้องหลังการทำเสียงประกอบภาพยนตร์มามากกว่า 90 เรื่อง นอกจากนี้เขายังเคยร่วมงานกับผู้กำดับชื่อดังมาแล้วมากมาย อย่าง โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล, เจ้ย อภิชาติพงศ์ และ หว่องกาไว
มาร่วมพูดคุยถึงมุมมองและความรู้สึกเบื้องลึกของอาชีพ Foley Artist นี้ รวมไปถึงวงการสื่อในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน จากมุมมองของคนทำงานเบื้องหลัง
ที่พูดคุยกันตั้งแต่เสน่ห์ของเสียงที่ทำให้เขาหลงใหล รวมไปถึงความสุข ความภูมิใจ และอนาคตที่วาดหวังไว้ต่อคนทำงานเบื้องหลังสื่อไทยในปัจจุบัน
จุดเริ่มต้นที่ทำให้หลงใหลในด้านเสียง
เราเคยถามตัวเองเหมือนกัน แล้วมารู้ว่ามันมี hint เล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในชีวิตมากมาย เช่น เพิ่งมารู้ตอนโตว่าคุณปู่เป่าแซ็กโซโฟน คุณพ่อก็เป่าทรัมเป็ต ไม่รู้ว่าเป็นกรรมพันธุ์อะไรหรือเปล่า
ส่วนจุดเริ่มต้นจริงๆ คือวันดีคืนดี คุณป้าชวนน้องไปเรียนเปียโน แล้วเราตามไปด้วย จึงค้นพบว่าเราชอบดนตรี ก็เล่นดนตรีตลอด แต่ไม่ได้เรียนคณะเกี่ยวกับดนตรีนะ เพราะว่าด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เลยเลือกที่จะเข้าไปเรียนเกี่ยวกับภาพยนตร์แทน
แต่หนีไม่พ้นเรื่องดนตรีอยู่ดี เพราะมีทำละครเวที เราก็เลยไปจอยกับเขา เหมือนเป็นการเปิดโลกของเรา ว่าจริงๆ แล้วมีพาร์ตอย่างอื่นนอกจากแค่การทำเพลง หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ได้ลองทำเสียงในภาพยนตร์มาโดยตลอด รู้ตัวอีกที เราก็ชอบมันไปแล้ว
ช่วงไหนของชีวิตที่ทำให้คุณเดินทางเข้าสู่ Foley Artist
จุดที่เรียนจบแล้วต้องสมัครงาน คือเราลองทำมาทุกอย่างแล้ว หลายอย่างที่ลองมีจุดที่ติดอยู่ในใจเล็กๆ ว่ายังไม่ค่อยชอบมันขนาดนั้น แค่ทำได้
แต่ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะอยู่กับมันไปตลอดชีวิต จนกระทั่งนึกขึ้นได้ว่าเรายังไม่ได้ลองงาน Foley Artist เลยดับเครื่องชนสมัครงานเป็น Foley Artist ตอนแรกก็ไม่ได้ชอบ หรือรู้สึกว่าเราจะทำมันได้ดี จนทำไปประมาณหนึ่ง ถึงรู้ว่าเรารักอาชีพนี้ไปแล้ว
ลองนิยามคำว่า ‘Foley Artist’ ในมุมมองของตัวเองให้ฟังหน่อย
คนอื่นอาจจะเรียกว่าทำเสียงประกอบภาพยนตร์ แต่เรารู้สึกว่าเราคือนักแสดงทางเสียงมากกว่า คือเสียงที่ออกมา ไม่ใช่เกิดจากแค่การกระทำอย่างเดียว ต้องอาศัยการแสดง เช่น นักแสดงในจอเขาเจ็บขา เราต้องแอ็กติงให้เหมือนคนเจ็บขา ถ้าไม่มีความเชื่อว่าตอนนี้เรากำลังเจ็บขาอยู่ เสียงมันก็จะฟังแล้วไม่มีความรู้สึกว่าเจ็บขาจริง เหมือนเราแค่แกล้งเจ็บ
หรืออย่างซีนเปิดหนังสือพิมพ์ธรรมดา แต่ถ้าในซีนนั้นมีความเศร้าของนักแสดงอยู่ จะทำยังไงให้คนดูรู้สึกว่าเขาเปิดหนังสือพิมพ์ด้วยความเศร้า เราเลยรู้สึกว่ามันเป็นการแสดงอย่างหนึ่ง แต่ว่าเราใช้แค่เสียง
แล้วขั้นตอนการทำงานของอาชีพนี้ มีอะไรบ้าง
Foley Artist ต้องการความครีเอทีฟสูงมากๆ หลายๆ คนมักจะเข้าใจว่าเราต้องทำงานในสตูดิโอ แต่จริงๆ แล้วอัดที่ไหนก็ได้ อย่างซีรีส์ ‘Peaky Blinders’ เขาก็ไม่ได้อัดในห้องโฟลีย์ทั้งหมด อย่างซีนในโบสถ์ เขาก็ไปอัดในโบสถ์จริงๆ เสียงจะดูเข้ากับภาพมากกว่า เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นในโบสถ์อยู่แล้ว
ในกระบวนการทำงาน โฟลีย์ก็ต่างจากซาวด์เอฟเฟกต์ ซาวด์เอฟเฟกต์เราไปอัดแยกมา แล้วเอามาวางอีกที แต่โฟลีย์จะทำพร้อมภาพ อย่างเสียงเดิน เราต้องดูภาพในจอไปด้วย และเดินไปด้วย ต้องใช้ภาพและไมค์ในการทำงาน อัดที่ไหนก็ได้ ถ้ามีภาพและไมค์ ลูกค้าจะส่งไฟล์ภาพมาให้เรา เราต้องนั่งดูทั้งหมดก่อนเพื่อทำความเข้าใจว่าเรื่องนี้จะพัฒนาไปทางไหนบ้าง มีตัวละครไหนเป็นตัวละครหลัก เหมือนเป็นการทำการบ้าน ดูจบรอบหนึ่ง ดูว่าเรื่องนี้มีอุปกรณ์เข้าฉากอะไรที่แปลกๆ ไหม หรือควรเน้นเสียงไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า หลังจากนั้นพอรู้แล้ว สมมติว่าเราตกลงที่จะทำเสียง footstep (ฝีเท้า) ก่อน มันก็จะมีการแคสติงรองเท้าเกิดขึ้น เสียงเดินของรองเท้านี้ เข้ากับตัวละครตัวไหนบ้าง
ยกตัวอย่าง ‘RedLife’ ของ BrandThink ละกัน ตัวละครแม่นางเอกจะใส่รองเท้าส้นเตี้ย ในโลกนี้มันมีรองเท้าส้นเตี้ยหลายแบบ เราเลยต้องเลือกว่าแบบไหนจะเหมาะกับเขา ต้องศึกษาตัวละคร สภาพสังคม รายได้ เขาเป็นยังไง พอได้แล้วเราก็ลงมือทำ อัดเสียงเสร็จแล้วก็ส่งให้ mixer เขาไปมิกซ์ต่อ
การทำงานในสายอาชีพ Foley Artist ต้องอาศัยทักษะอะไรบ้าง
ควรรู้ทักษะเบื้องต้นด้านเสียง แต่พูดในฐานะคนที่เริ่มจากศูนย์เลยนะ ต้องเป็นคนซน ต้องอยากรู้ว่า ตรงนั้นคืออะไร เสียงมันเป็นยังไง มีนิสัยชอบหยิบจับอะไรตลอดเวลา แล้วอีกอย่างหนึ่งคือ จะต้องเป็นคนที่โฟกัส ต้องมีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำสูง เวลาที่ดูจอไปด้วย เรามีเวลาแค่เสี้ยววินาที ให้คุณตัดสินใจทำเสียงเสียงหนึ่งออกมา ให้เพอร์เฟกต์ที่สุด
เคยเจอเหตุการณ์ ต้องการเสียงที่ไม่ใช่เสียงปกติทั่วไป หรือต้องใช้จินตนาการในการสร้างสรรค์ไหม และทำอย่างไร
มีเยอะแยะครับ เคยทำหนังของหม่อมน้อย เรื่อง ‘แม่เบี้ย’ ก็จะมีเสียงลิ้นงูสะบัด บางทีก็เป็นเสียงมด เสียงหนอน หรือเสียงเท้าตุ๊กแก จิ้งจก ที่บอกไม่ปกติ เพราะว่าบางทีแมลงมันขยับ เราคงไม่ได้ยินในชีวิตจริงหรอก ซึ่งอันนี้จริงๆ ว่ากันด้วยเรื่องของประสบการณ์เลย เราต้องคาดเดาคนฟังว่าเขาต้องได้ยินเสียงแบบไหน เขาถึงจะเชื่อว่ามันเป็นเสียงนี้
เราเอาความคิดตรงนี้ไปจับกับเสียงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ว่าคนดูต้องการฟังอะไร สมมติในภาพเป็นซอมบี้กำลังกินไส้อยู่ เราก็คงนึกถึงความแหยะๆ ใช่ปะ เราก็หาเสียงที่มันฟังดูแหยะๆ มีความ juicy เช่น เสียงมายองเนส แยม มะเขือเทศ เสียงที่เราไม่เคยได้ยิน มันมีเยอะแยะไปหมดเลย
แต่เราต้องโน้มน้าวคนฟังให้ได้ ว่าเสียงนี้แหละมันเกิดจากภาพในจอ โดยใช้วัสดุพื้นฐาน อย่างในภาพเป็นซอมบี้มันกำลังกินไส้อยู่ ยั้วเยี้ยเต็มไปหมดเลย แต่ตัดภาพมาเบื้องหลัง เป็นเรานั่งบีบสับปะรดอยู่ อย่างงี้ คือ ณ โมเมนต์นั้น เขาได้ยินแค่เสียงประกอบกับภาพ มันก็เกิด magic ขึ้นมา เพราะว่าเสียงมันเข้ากับภาพได้พอดี
เสน่ห์ของงานด้านเสียงที่ชอบคืออะไร
คือใช้เสียงอะไรไม่รู้ มาประกอบกับภาพ แล้ว magic มันเกิดขึ้น คนดูเชื่อว่ากองถ่ายอัดมาดีจังเลย เสียงชัดเจน นอกจากมันเข้ากับภาพแล้ว ยังส่งไปที่อารมณ์ของคนฟังได้ด้วย ตื่นเต้น ตกใจ กลัว อย่างเสียงหมาเห่า เสียงเข็มหล่นพื้น ต้องทำยังไงให้คนฟังแล้วรู้สึกกลัว นั่นแหละครับคือเสน่ห์ของมัน
มองว่าเสียงมีความเชื่อมโยง หรือมีอิทธิพลต่อความรู้สึกไหม
ใช่ สร้างอิทธิพลได้เยอะพอสมควร ตีความว่าหนังแอ็กชันเรื่องหนึ่ง ไม่มีสกอร์ที่ตื่นเต้น ก็เป็นแค่เสียงตุ้บตั้บๆ เฉยๆ เรารู้สึกว่าความตื่นเต้นมันหายไปครึ่งหนึ่ง หรือเอาแบบเบสิกกว่านั้น เราแค่เปิดมาภาพหนึ่ง แล้วเสียงมันดังหรือเบาจนเกินไป เราก็ต้องหารีโมตมาปรับระดับเสียงละ อันนี้แค่ความดังความเบาเอง เราจะรู้สึกว่าต้องได้ยินเสียง ฉากนี้กำลังอิน ต้องได้ยินว่าตัวละครพูดอะไร มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีอิทธิพลแหละ แต่อาจจะไม่ได้รู้ตัวว่ามันมีอิทธิพลขนาดนั้น
ถ้าอย่างนั้นอะไรคือความยาก ความกดดัน หรือความท้าทายในการทำอาชีพนี้
ส่วนใหญ่จะกดดันเรื่องเดดไลน์มากกว่า กับงานยาก ถ้ามีเวลาให้ทำก็สนุกนะ ยกตัวอย่างหนังเรื่อง ‘ร่างทรง’ มันหนักนะ ต้องดีไซน์ใหม่หมด เพราะเป็น perspective ของหนัง Found Footage (หนังที่นำเสนอภาพฟุตเทจซึ่งถูกบันทึกไว้โดยกล้องวิดีโอของตัวละคร หรือกล้องรูปแบบอื่น เช่นกล้องวงจรปิด ฯลฯ) ยากตรงที่เราต้องดีไซน์ว่า สิ่งที่คนดูควรจะได้ยินมันจะต้องอยู่หน้ากล้อง หรืออยู่ตรงนู้น ถ้าตัวละครอยู่ไกลมากๆ เราควรจะทำเสียงเดินให้เขาไหม ถ้าเป็นในหนังปกติเราตัดสินใจได้ง่ายๆ ถ้าเรื่องมันเล่าตรงนู้น มีบทพูดตรงนู้น เราก็ทำเสียงเดินตรงนู้นได้
แต่พอร่างทรงเป็น Found Footage ที่ต้องอิงกับความจริง เราทำแบบนั้นไม่ได้ อย่างวงไพ่ เราควรได้ยินทุกการกระทำเลยไหม หรือเสียงกล้องที่มันเคลื่อนที่ไปมา อันนี้ก็ต้องทำใหม่ เพื่อเน้นถึงความชุลมุนวุ่นวายในหนัง หรือแม้กระทั่งช็อตไฟดับ ก็ต้องมานั่งนับก้าวกันว่า ตั้งแต่ตรงนู้นเดินเข้าห้องน้ำประมาณกี่ก้าว ทุกอย่างมันยากและต้องคราฟต์ทั้งหมด เราสนุกที่ได้คราฟต์นะ แต่ว่าเวลามันมีจำกัด ถ้าถามว่างานไหนที่ยากและกดดันที่สุด ก็คงเป็นงานที่เราไม่มีเวลาทำ เดดไลน์กระชั้นชิด
ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวเองบ้าง
เห็นเยอะเลย เห็นความนิ่ง ความเป๊ะขึ้นของตัวเอง ส่วนหนึ่งก็จากประสบการณ์ของการเป็น Foley Artist จะเก่งไม่เก่ง วัดกันที่ประสบการณ์เลย อย่างคุณจะวางแก้วแก้วหนึ่งให้เสียงมันดี มันไม่ใช่วางแค่สิบที แต่มันต้องเคยลองมาเป็นพันครั้งแล้ว สมมติว่าวางแก้วรอบหนึ่งใช้เวลา 5 วิ วางหลายที เสียงยังไม่ได้ จากวินาทีก็กลายเป็นนาที จากนาทีก็เป็นชั่วโมง แต่เดดไลน์มันเท่าเดิมไง
นั่นเลยเป็นสาเหตุว่า ทำไมเราถึงต้องแม่น ถ้าเราสามารถทำได้เป๊ะภายในเทคเดียว เท่ากับว่าเราสามารถประหยัดเวลาไปได้เป็นชั่วโมง กับสิ่งที่มีเพิ่มมาก็คือความนิ่ง เราไม่ค่อยลนลาน ตกใจแล้วว่าเสียงนี้จะเอาอะไรมาทำ จะทำยังไง และอีกอันหนึ่งก็น่าจะเป็นความถึกทนแหละ
เคยมีอาการปวดหลังจากหมอนรองกระดูกเคลื่อน จนต้องหยุดพักงานไประยะหนึ่ง คิดว่าสาเหตุของการเจ็บป่วยเกิดจากวิถีการทำงานไหม
อาการปวดหลังกำเริบในช่วงที่เราทำงาน แต่ว่าไม่รู้เหมือนกันว่าเริ่มเกิดขึ้นตอนไหน มีวันหนึ่งที่นั่งทำงานอยู่แล้วรู้สึกว่าขามันชา ไม่รู้สึกอะไรเลย แล้วปวดหลังด้วย เลยรู้สึกว่าน่าจะเป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง เลยไปหาหมอตรวจ MRI ดู
หมอบอกว่ามันเกิดจากการกระแทก เนื้องานเราบางทีทำซีนรถชน มันต้องกระโดดลงจากประตูรถ หรือหนังแอ็กชัน โดนถีบร่วงลงพื้น เราก็ต้องร่วงลงไปที่พื้นจริงๆ อุบัติเหตุในงานมีตลอดเวลา มีดบาด ข้อเท้าเคล็ด แขนเคล็ด เล็บหลุด เพราะว่าบางทีมัวแต่โฟกัสอยู่กับจอ ไม่ได้ดูของที่อยู่ในมือ บางทีทำเสียงมีด มัวแต่จ้องจอ รู้ตัวอีกทีมีดเข้ามือไปแล้ว
แต่อาการปวดพวกนี้แก้ได้จากการออกกำลังกาย ซึ่งที่ผ่านมาเราคิดว่าเราออกกำลังกายมาตลอดเวลา เพราะงานที่ทำเราก็ไม่ได้อยู่นิ่งอยู่แล้ว มันมีการขยับนู่นนี่ มียกของตลอดเวลา แต่ปรากฏว่าจริงๆ มันเป็นการออกกำลังกายที่ผิดท่า ผิดวิธี ไม่ถูกหลัก เลยกลายเป็นทำให้เราเจ็บแทน เลยต้องหยุดพักไปเพื่อที่จะทำกายภาพตัวเอง
พักงานไปแค่ 2 เดือน แล้วก็กลับไป เพราะเขาเรียก แต่ไปช่วยคุม ช่วยดูแลมากกว่า แต่ก็มีบางทีอยากทำ ก็หลวมตัวลงไปทำบ้าง พอไปอยู่ในนั้นแล้วมันห้ามตัวเองยาก แต่กายภาพกินเวลาเป็นปีเลย เพิ่งเลิกไปเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้วเอง
หลังจากเกิดอาการปวดหลังจนต้องทำกายภาพ ส่งผลกระทบต่อการทำงานมากน้อยแค่ไหน
ส่งผลมาก เพราะนั่งทำงานนานๆ ไม่ได้ และนอนหลับไม่สนิท บางทีเราทำงานมาเหนื่อยๆ หลับไป จะชอบตื่นมากลางดึก เพราะมันเจ็บปวด จะต้องพลิกตัวตลอดเวลา ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ ก็ต้องมานั่งกายภาพตัวเองก่อน
และต้องระวังตัวเองมากขึ้นด้วย ยกของหนักมากไม่ได้ ซึ่งปกติเราเป็นคนที่โฟกัสกับงานมากๆ บางทีนั่งทำยาว ก็ต้องมาคอยหยุดพักเรื่อยๆ ตามที่หมอสั่ง ซึ่งทำให้งานช้าลง ไลฟ์สไตล์ก็เปลี่ยนไป ต้องคอยยืดเหยียดร่างกายทุกเช้า หันมาออกกำลังกายและดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น
แล้วก็คุยกับทางออฟฟิศด้วยว่า ลิมิตของทุกคนมันมี สมมติว่าวันนี้เราทำงานไม่ทัน แต่ทำครบ 8 ชั่วโมงแล้ว และมันยังไม่เสร็จ ก็คือต้องเลิก อย่าข้ามไป 12-16 ชั่วโมง เพราะสุดท้ายแล้ว ถึงงานอาจจะเสร็จ แต่พรุ่งนี้ถ้ามาทำงานต่อ ประสิทธิภาพมันจะดร็อปลง มันก็จะมีความคิดเหล่านี้ติดมา คำนึงเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น
แต่ปัจจุบันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย มักมีการทำงานล่วงเวลาบ่อยครั้ง มองเรื่องนี้อย่างไร
เราไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว รู้สึกว่า working hour ของแต่ละคนมันมีอยู่ บางคนอาจจะทำวันละ 12 ชั่วโมงได้ ทำไหว แต่จะทำอย่างนี้ไปอีก 20 ปีเลยเหรอ แล้วเราก็รู้สึกโมโหทุกครั้งที่เห็นโพสต์ประมาณว่า นี่นะ กองเราสู้มาก ถ่าย 16 ชั่วโมง มันไม่ใช่เรื่องน่าอวดเลย มันเป็นการที่คุณจัดการบริหารเวลากับงบไม่ได้หรือเปล่า
อีกอย่างที่โมโหเหมือนกันคือ ผู้สร้างมักจะถามหางานที่ถูกตลอด เขาไม่ได้มองว่ามันเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่ง เขาตีมันเป็นสินค้า แค่คิดว่างานนี้ถูกผลิตออกมา เดี๋ยวออนแอร์ไปสักเดือนนึง มันก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรแล้ว เดี๋ยวเขาก็จะผลิตชิ้นงานใหม่มา เขาก็มองว่าเดี๋ยวคนก็ลืมแล้ว จะทำให้มันดีทำไม แต่ไม่ได้มองถึงความเสี่ยงต่างๆ ในการทำงานของคนเบื้องหลัง เช่น น้าช่างไฟต้องปีนตึก โรยตัวลงมาห้อยไฟ
จริงๆ มันควรจะมีค่าเสี่ยงภัยนะ ควรมีประกัน มีสวัสดิการ ซึ่งเขาก็จะมองว่ามันเป็นราคาที่เพิ่มขึ้น ทำไมต้องจ่ายแพงขึ้น พอเรียกร้องมาก เขาก็เปลี่ยนไปหาทีมใหม่ที่รับได้ แล้วก็จะมีคนในวงการที่ทำได้ รับงานมาก่อน ไม่สนใจ แล้วก็กลายเป็นการตัดราคากันไป คนที่ตัดราคาไป ก็โอเคแหละ ได้เงิน ได้ประโยชน์อะไรก็ตาม อุบัติเหตุมันอาจไม่เกิด หรืออาจจะเกิดแต่คุณจัดการกันได้ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ดีไง
แล้วคิดว่าต้องทำอย่างไรให้ประเด็นชั่วโมงการทำงานมันดีกว่านี้?
ทุกวันนี้มีกลุ่มคนที่พยายามจัดการอยู่ ซึ่งเราดีใจนะที่มี อย่างเช่น สหภาพแรงงานสร้างสรรค์ หรือสมาพันธ์ภาพยนตร์ เขาจะมีราคากลางอยู่ ว่าถ้าคุณอยู่ในสมาพันธ์ คุณจะได้ประโยชน์อะไร แล้วราคากลางของงานขั้นต่ำ คุณควรจะได้รับที่เท่าไหร่ พอมันเกาะกลุ่มกันเป็นสมาพันธ์ ใครที่จะจ้างคนในสมาพันธ์ จะรู้ว่าขั้นต่ำอยู่ที่เท่านี้ ซึ่งมันเป็นราคาที่ทุกคนรับได้ ตกลงร่วมกัน และราคากลางมันก็สามารถเติบโตไปได้
แต่พูดถึงกลุ่มคนที่พยายามจะตัดราคาก็ยังมีอยู่ ปฏิเสธไม่ได้ ทั้งตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี คิดว่าคงต้องช่วยกันกระจายออกไปให้คนรู้ว่าตอนนี้มันมีองค์กรที่พยายามอยู่นะ และเราก็มองว่าไม่ต้องไปกลัวหรอกว่าจะไม่มีคนมาจ้าง เราแค่เซ็ตอะไรสักอย่างขึ้นมา คนแค่ยังไม่ชินเฉยๆ แต่ถ้าทุกคนคุ้นชินกับมันแล้ว ก็จะกลายเป็นเรื่องปกติ เหมือนกับการคิดค่าแรงขั้นต่ำ ต่อวัน ต่อชั่วโมง
อยากให้คนอื่นจดจำไหม ในฐานะที่คนทำงาน Foley Artist อาจไม่ได้ถูกจดจำมากนัก (ถ้าเทียบกับเบื้องหลังฝ่ายอื่นๆ)
ก็ไม่นะ นิสัยคนทำงานเบื้องหลัง มันชอบอยู่ข้างหลังอยู่แล้ว มันไม่ได้เป็นนิสัยแบบ ยืนตรงนี้ต้องมีคนล้อมรอบ ถ้ารู้สึกแบบนั้นก็ไปทำงานเบื้องหน้า
มันเป็นความรู้สึกแบบดูหนัง แล้วภูมิใจที่เราช่วยกันทำมันเสร็จออกมา อยากให้คนทำงานด้วยกันจดจำมากกว่า เข่น คนตัดต่อเจอคนตัดต่อด้วยกันก็จำได้ มีทักกันแบบ ‘พี่ ทำเรื่องนี้ผมดูแล้ว ชอบสไตล์มากเลย’ มันน่าภูมิใจกว่า
แต่ถ้าในฝั่งคนดู สมมติเขาเป็นเนิร์ดในด้านเสียงด้านหนัง แล้วเขาทักเรา จำเราได้ เราก็ดีใจนะ ภูมิใจเหมือนกัน แต่ถามว่ามันถึงขนาดว่าอยากให้คนดูทั้งประเทศจดจำเราได้เลยไหม มันก็ไม่ได้อยากขนาดนั้น
“เราอยากให้คนทำงานด้วยกันจดจำมากกว่า
เวลานึกถึง Foley ที่ดี และไว้ใจได้ แล้วเขานึกถึงเรา แบบนี้มากกว่า”
ปัจจุบันมองความฝันสูงสุดของตัวเองในสายงานนี้อย่างไรบ้าง
เราอยากทำหนังฮอลลีวูดสักเรื่อง หรือมีโอกาสได้ทำกับผู้กำกับฮอลลีวูด อยากไปงานออสการ์สักที หรืออย่างคานส์ Golden Globes หรือเทศกาลเบอร์ลินก็ได้ มันเป็นความสำเร็จของคนทำหนังส่วนใหญ่อยู่แล้วแหละ ได้ไปเห็น ไปเดินพรมแดง เราก็อยากจะทำให้ได้
สุดท้าย อยากเห็นอาชีพ Foley Artist เป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต
อยากให้มีคนทำอาชีพนี้เยอะขึ้น อยากให้โฟลีย์ไทย worldwide เป็นที่รู้จักมากขึ้น ตลาดหนังญี่ปุ่นหรือเกาหลีจะได้เข้ามาบ้านเรา พอเม็ดเงินเข้ามา อาจจะขายเป็นแพ็กเกจอื่นๆ ร่วมนอกจากโฟลีย์ และมันก็คงจะพาเราไปสู่ International ได้
ซึ่งตอนนี้มันก็กำลังก้าวไปตรงนั้นแล้วแหละ เพราะอย่างกันตนาก็มีทำซีรีส์ของญี่ปุ่นบ้าง อย่างเช่น ‘Zom 100: Bucket List of the Dead’ หรือ ‘The Naked Director SS2’ เขาก็เริ่มไหลเข้ามา ฮ่องกง หรือจีนก็มา แต่สิ่งที่เรายังขาด คิดว่าเป็นฝั่งเกาหลี คิดว่าถ้ามันพาไปได้ไกลอีกสเต็ปหนึ่ง มันก็จะดี และอยากให้มีคนทำเยอะขึ้น เพราะว่าจะได้แชร์ความรู้ กำหนดมาตรฐานราคาขั้นต่ำ และจะช่วยผลักดันวงการนี้ขึ้นไปได้