Beyond the Frame: บทสนทนาว่าด้วยชีวิต ความรัก ตัวตน และแรงขับเคลื่อนของ ‘ซิน ซิงกูลาร์ หรือ ‘ทศพร อาชวานันทกุล’ ศิลปินที่เติบโตพร้อมกับการถูกตั้งคำถามมาตลอด 15 ปี
“คิดถึงฉันสักครั้ง เมื่อไม่ได้คิดถึงใคร”
“ก็ในใจฉันมีแต่เธอมีแต่เธอ อยู่ที่ใดและเมื่อไรจะได้เจอ”
“ถ้าไม่เคยลองทำตามหัวใจ จะรู้ได้ไหมว่าเราจะไปได้ไกลสักเท่าไร”
“เธอเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่คนที่ฉันรักอีกต่อไป”
บทเพลงเหล่านี้ถูกรังสรรค์และขับร้องโดยศิลปินผู้มีเสียงและคาแรกเตอร์อันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยบุคลิกอ่อนหวานและเสียงร้องที่นุ่มลึกสบายหู ทำให้ ‘ซิน-ทศพร อาชวานันทกุล’ หรือ ‘ซิน ซิงกูลาร์’ ประสบความสำเร็จ เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงในวงการดนตรีตั้งแต่ออกซิงเกิลแรก เมื่อ 15 ปีก่อน
‘ซิน’ จึงเป็นที่รู้จักในฐานะศิลปิน นักร้อง ผู้มีคาแรกเตอร์โดดเด่น รวมถึงผลงานเพลงที่เนื้อหาลึกซึ้งและฟังง่าย แต่ด้านชีวิตส่วนตัวและความเป็นตัวตนในตลอด 15 ปีที่ผ่านมา เจ้าตัวไม่ได้เปิดเผยต่อหน้าสื่อมวลชนมากนัก ซึ่งการที่ศิลปินไม่ได้เปิดเผยชีวิตส่วนตัวต่อสาธารณะกลับเป็นเรื่องไม่สามัญเท่าไรนักสำหรับวงการบันเทิงไทย และนั่นอาจทำให้สังคมตั้งคำถามกับความเป็นตัวตนของซินตลอดหลายปีที่ผ่านมา
วันนี้ BrandThink มีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้าของบทเพลงคุ้นหู ผู้เติบโตมาพร้อมกับคำถามมากมายตลอดเส้นทางในวงการดนตรี ‘ซิน-ทศพร อาชวานันทกุล’ ศิลปินผู้ใช้เสียงเพลงเล่าเรื่องชีวิต ความรัก และความเป็นตัวตนอย่างซื่อตรง เราจะพาทุกคนไปรู้จักเขาให้ลึกขึ้น ทั้งในมุมของคนทำงานที่รักในกระบวนการสร้างสรรค์ และในฐานะศิลปินที่ใช้ ‘ดนตรี’ ขับเคลื่อนตัวเองมาทั้งชีวิต
อะไรคือจุดเริ่มต้นความชอบทางด้านดนตรี
เราชอบฟังเพลงตั้งแต่จำความได้ ตอนเด็กก็จะฟังตามคุณพ่อคุณแม่ ฟัง ‘The Carpenters’ ถ้าเป็นทางเอเชียก็จะเป็น ‘เติ้ง ลี่จวิน’ แล้วก็เพลงญี่ปุ่น ตั้งแต่ยุค ‘เซโกะ มัตซึดะ’ ยุค 80s อย่างนั้นเลย ซึมซับเพลงหลากหลายแนวมาตั้งแต่เด็ก
จากที่แค่ชอบฟัง พอเริ่มโตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มอยากเปล่งเสียงให้ได้แบบที่เราได้ยิน ทักษะการร้องเพลงที่ได้เลยเป็นเหมือนครูพักลักจำมา เพิ่งจะมาเรียนร้องเพลงตอน ม.3
หลังจากได้เรียนร้องเพลงเนี่ยแหละ อาจารย์ที่สอนร้องเพลงเขาจะไปสมัคร Bangkok Opera อาจารย์ไม่รู้นึกยังไงก็ชวนเราไปด้วย ตอนนั้นก็ไปแบบไม่คิดอะไรเลย แต่ปรากฏว่าก็ได้เข้าไปในคณะประสานเสียงนี้ด้วยพร้อมกับอาจารย์ ก็เลยเป็นประสบการณ์การขึ้นเวทีครั้งแรกที่ศูนย์วัฒนธรรม จำได้เลย
แล้วจุดเริ่มต้นการแต่งเพลงล่ะ
อย่างที่บอกว่าเป็นคนชอบฟังเพลงมาตั้งแต่เด็ก เวลาฟังเพลงซินจะค่อนข้างลงดีเทลกับมัน ชอบดูปกเทป ชอบดูว่าใครเป็นคนเขียน ใครเป็นคนแต่ง เป็นคนชอบเรื่องดีไซน์อะไรแบบนั้นด้วย ซึ่งแปลกดี หลายๆ เพลงที่เราชอบ มันมักจะเป็นคนแต่งคนเดียวกัน แสดงว่ามันน่าจะมีบางอย่างที่เป็นเทสของเราซึ่งตรงกับนักแต่งเพลงคนนั้น
แปลว่าจับเซนส์ความชอบของตัวเองได้ตั้งแต่ตอนนั้น
ใช่ พอเราสนใจเรื่องเนื้อเพลง เรื่องภาษามากๆ จำได้ว่าตอนนั้นเป็นวันเกิดปีที่ 14 เหมือนกำลังจะหมดวันแล้ว อยู่ดีๆ ก็นึกอยากลองเขียนเพลงขึ้นมาเองดูซิ จะเป็นยังไง แล้วก็แต่งเพลงนั้นเป็นเพลงแรก
เพลงนั้นได้ถูกนำมาทำอะไรต่อไหม
ไม่เลย เราเขียนเพราะว่าเราชอบเฉยๆ เราไม่ได้คิดเลยว่าจะเอาไปทำอะไร เป็นเพลงป๊อปทั่วไป ซึ่งตอนนั้นเราก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์ความรักอะไรนะ แต่ก็ลองแต่งดู เป็นเพลงฉันรักเธอ เธอรักฉันอะไรไปเรื่อย เดาเอาว่าคงจะประมาณนี้มั้ง
เพื่อนๆ รู้ไหมว่าเราสนใจและมีความสามารถด้านนี้
จะมีแค่เพื่อนสนิท ณ ตอนนั้น เป็นเด็กที่ไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมเยอะมาก เป็นเด็กขี้อายจะไม่ค่อยได้เห็นออกไปแสดงอะไร ประสบการณ์ตั้งวงดนตรีในช่วงมัธยมอะไรแบบนั้น เราไม่เคยมีเลย เป็นเด็กเนิร์ดท่านหนึ่ง เป็นตัวละครลับอยู่ในโรงเรียน
แล้วถ้าให้แนะนำตัวเอง ลึกๆ แล้วรู้สึกว่าตัวเองคือใคร
เราคือคนทำเพลง เราชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับกระบวนการทำเพลง ถ้าให้แนะนำตัว ก็คงจะแนะนำว่าตัวเองเป็นคนทำเพลง เป็นโปรดิวเซอร์ เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง เพราะว่าเรารู้สึกมีความสุขที่สุดตอนที่อยู่ในห้องอัด
คงไม่นิยามว่าตัวเองเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์อะไรขนาดนั้น เพราะรู้สึกว่าตั้งแต่เป็นศิลปินมา เราใช้เวลาทำความคุ้นเคยในการขึ้นเวทีน่าจะมากกว่าศิลปินคนอื่น เพราะเป็นคนขี้อาย เป็นอินโทรเวิร์ต เลยรู้สึกว่ายากเวลาต้องแสดงต่อหน้าคนอื่น เพิ่งจะมาดีขึ้นเมื่อ 5 ปีให้หลังมานี้ ที่รู้สึก comfortable จริงๆ ในการอยู่บนเวที
ภาพจำของคนทั่วไปคิดว่าซินเป็นคนเรียบร้อย อ่อนหวาน เป็นแบบนั้นจริงไหม
ซินว่าทุกคนมีหลายๆ พาร์ต ซินก็เป็นหนึ่งในนั้นที่มีหลายมิติ เพียงแต่เราอาจจะหยิบแค่บางมุมของเราหันออกไป แต่ในพาร์ตแสบซ่า พาร์ตเฟียสเราก็มี แค่เราจะเปิดพาร์ตนั้นกับคนที่เราไว้ใจ คนที่เราสบายใจจริงๆ เท่านั้น ซึ่งก็มีไม่เยอะ
คำถามเรื่องเพศที่ถูกถามมาตลอด 15 ปี รู้สึกอย่างไรที่คนมาตั้งคำถามกับความเป็นตัวตนของเรา
ถ้าเป็นในแง่ของการทำงาน แทบจะไม่มีผลกับเราเลย มีบางครั้งที่เราหยิบเรื่องพวกนี้มาเขียนเป็นเพลงด้วยซ้ำ ลองเดากันดูว่าเพลงไหน แต่ถ้าเป็นพาร์ตของความรู้สึก มันก็อาจจะมีบางเวลาที่รู้สึกว่าคำถามนี้มันไม่ถามก็ได้
เราคิดนะว่าทำไมเขาถึงถามคำถามนี้ แล้วก็มานั่งวิเคราะห์เลยว่าเพราะอะไร ซึ่งก็ได้คำตอบหลากหลาย บางทีเขาอาจจะถามเพราะอยากชวนคุยโดยที่ไม่มีเนื้อหา (material) ที่มากพอ ไม่รู้ว่าจะชวนคุยเรื่องอะไร เขาอาจจะไม่มีวิธีเข้าหา (approach) อื่นแล้ว หรือบางครั้งอาจจะอยากรู้จริงๆ ก็ได้ หรืออยากแซว หรือบางครั้งมันก็มีคนที่แย่จริงๆ คนที่ไม่ได้ให้เกียรติคนอื่น ถามโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
แล้วมีวิธีจัดการอย่างไรเวลาเจอคำถามแบบนี้
ในสังคมมันมีร้อยพ่อพันแม่ไปหมด เราเลยรู้สึกว่าอะไรที่ผ่านๆ ไปได้ เราก็ไม่อยากเก็บมาใส่ใจ เราเคยมานั่งถามตัวเองเหมือนกันว่าถ้าเราตอบคำถามพวกนั้นไป เขาจะได้ประโยชน์อะไรในชีวิตเขาไหม ซึ่งเราคิดแล้วว่ามันก็ไม่น่าจะทำให้ใครกินข้าวอร่อยขึ้น หรือสบายใจขึ้น ก็เลยเลือกที่จะไม่เคยพูดอะไร
ถ้าในอนาคตมันจะมีวันหนึ่งที่เราเกิดอยากพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ก็ทำไมถึงจะไม่พูดล่ะ (Why not?) แต่มันก็เป็นเรื่องอนาคต ตอนนี้ยังไม่รู้สึกว่าจะต้องพูดอะไร
ทุกวันนี้สังคมตระหนักรู้มากขึ้น โดนถามน้อยลงไหมถ้าเทียบกับเมื่อก่อน
ซินว่าก็น้อยลงนะ แต่ถามว่ายังมีไหม ก็มีบ้าง อันนี้ก็เป็นเรื่องของแต่ละคนแล้วว่าเขาจะพัฒนา (develop) ตามสังคม ตามวันเวลาไหม
ถ้าถามถึงมุมมองความรักล่ะ มองความรักเป็นอย่างไรบ้าง
ถ้าเป็นสมัยก่อน เราค่อนข้างจริงจังกับความรัก เพราะสมัยก่อนมันจะมีตัวอย่างแค่จากสื่อ หนังสือ หรือนิยายที่เราอ่าน ซึ่งในนั้นมันค่อนข้างจะพรีเซนต์ความรักที่มันแบบ อู้ย โรแมนซ์มากๆ เราในช่วงวัยรุ่นเลยไปยึดติดกับตรงนั้น โดยที่ยังไม่เคยมานั่งตกตะกอนกับตัวเองว่าเราอินกับเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ขนาดนั้นไหม หรือเราต้องการแบบนั้นจริงไหม
ถ้าเป็นตอนนี้เลยจะรู้สึกแค่ว่าถ้าคุยกับใครแล้วโอเค ก็ค่อยๆ ใช้เวลาเรียนรู้กันไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีบว่าจะต้องเป็นแฟนกันเท่านั้น เพราะสุดท้ายมันอาจจะเป็นแค่คนสองคนที่คุยกันแล้วรู้สึกดี หรือเขาอาจจะกลายมาเป็นคนสำคัญของเรา โดยที่เราไม่ต้องไปจำกัดว่าคนคนนี้คือแฟนของฉัน และต้องเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น
ไม่ได้อินกับเรื่องความสัมพันธ์ แล้วเวลาแต่งเพลงรักมันมายังไง
มันคือความรู้สึก ณ โมเมนต์หนึ่ง ที่มันทำให้เรารู้สึกมากๆ ซึ่งในการแต่งเพลงเราก็ไปแคปเจอร์ช่วงเวลาเหล่านั้นให้มันรู้สึกจริงที่สุดในแบบที่เราต้องการและเก็บเอาไว้ผ่านเพลง คล้ายๆ เป็นไดอารี เป็นก้อนความรู้สึก หรือถ้าเป็นหนังสือก็คงเป็นบทหนึ่งที่เราอยากจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้เก็บไว้
ดูเหมือนว่าไม่ได้ตีกรอบให้ความรักหรือตัวตนตัวเองขนาดนั้น ในแง่การทำเพลงได้ตีกรอบไว้ไหม
กรอบการทำเพลงของเรา คือสิ่งที่เรา ‘ชอบ’ กับสิ่งที่เรา ‘ไม่ชอบ’ แค่นั้นเลย ซึ่งกรอบตรงนี้เราต้องรู้ตัวเองด้วยว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร หรืออยากจะนำเสนอตัวเองยังไงบ้าง เราจะไม่ทำในสิ่งที่เราไม่อิน เพราะมันจะฝืนมาก และทำไม่ได้ด้วย
กระบวนการการทำเพลงของซินเป็นอย่างไร
ส่วนใหญ่จะเริ่มมาจากเราก่อน องค์ประกอบ (material) ทั้งหมดจะมาจากเรา ไม่ว่าจะเป็นตอนทำวงเราก็รับหน้าที่เขียนเนื้อร้อง-ทำนองเองอยู่แล้วมาตั้งแต่แรก เวลาเขียนเพลงซินจะไม่ได้เห็นแค่เนื้อร้อง-ทำนอง พอเขียนไปเรื่อยๆ จะเริ่มให้เป็นภาพ เป็นสี เป็นบรรยากาศ จนมันชัดเป็นภาพมิวสิกวิดีโอ แล้วเราก็เอาไอเดียหรือสิ่งที่เราเห็นตรงนี้ไปคุยกับทีมงาน กับผู้กำกับอีกทีหนึ่ง ซึ่งมันก็มีทั้งที่ตรงตามที่อยากได้ และทั้งอกหัก คือเขาไม่เก็ตเลย แต่สุดท้ายมันก็ต้องโกออนต่อไป ส่วนตัวดนตรีหรือการทำเพลงมาจากเราทั้งหมด
ปกติใช้เวลาแต่งเพลงนานไหม
บางเพลงใช้เวลาสั้นมาก อย่าง ‘24/7’ ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ อยู่ดีๆ ก็ฮัมออกมาได้เลย แต่ว่าบางเพลงก็ใช้เวลานานมาก อย่างเพลง ‘ฟัง’ ที่ฟีเจอริงกับโอม Cocktail ใช้เวลา 5 เดือน อยู่กับเพลงนี้เพลงเดียว มีดราฟต์เป็น 20-30 หน้ากระดาษเลย แทบจะเขียนทุกประโยคที่เป็นไปได้แล้ว
เมสเสจเพลงนี้ค่อนข้างยาก มันปรัชญานิดหนึ่ง รักที่ไม่มีรูปแบบอะไรแบบนั้น ซึ่งมันจะย่อยออกมาให้คนทั่วไปฟังแล้วอินหรือเข้าใจ ค่อนข้างใช้เวลา กว่าเราจะถูกใจเราเองด้วย อยากให้ทุกคำมันใช่จริงๆ ตอนแรกก็ท้อไปหลายตลบ มีไปขอความช่วยเหลือจากนักแต่งเพลงคนนั้นคนนี้ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นซินจบอยู่ดี 100 เปอร์เซ็นต์
แล้วเพลงไหนที่สะท้อนตัวตนเราที่สุด
ถ้าเอาแบบเขียนมาแล้วรู้สึกว่ามันเหมือนพูดออกมาจากปากเลย คือ ‘สุขสันต์วันลา’ กับ ‘อยากอยู่คนเดียว’ ซึ่งเป็นเพลงที่ไม่แมสเลย ตอนนี้คนที่อ่านอาจจะตาลอยว่าเพลงอะไร แต่ว่าทัศนคติ (attitude) ของเพลงนี้ที่เขียนออกมามันคือเราเลย
‘สุขสันต์วันลา’ ใช้เวลาแต่งนานมาก หลายปี ได้มาอย่างละนิดละหน่อย แต่ ‘อยากอยู่คนเดียว’ นี่แป๊บเดียว จำได้แม่นเลย ตอนนั้นเดินอยู่ที่ทองหล่อเดินออกมาจากซอยแล้วฝนตก แล้วมันก็ขึ้นมา ท่องไว้ในหัวจนถึงบ้าน แล้วเอามาอัด
อะไรคือสิ่งที่ทำให้ยังอยากตื่นมาทำเพลงทุกวัน มีวันที่ไม่อยากทำบ้างไหม
มีบ้าง บางอารมณ์ แต่โดยภาพรวมแล้วยังอยากทำอยู่ แต่จะมีบางวันที่เราเหนื่อย หรือไปเจออะไรที่มันไม่แฟร์ในการปฏิบัติกับศิลปิน เป็นเรื่องของระบบในวงการบางทีมันทำให้เราเกิดความรู้สึกว่า เราควรจะไปทำอย่างอื่นรึเปล่านะ
แต่สุดท้ายแล้ว โดยแก่นข้างในของเรา เราก็ยังมีความสุขกับการเขียนเพลง ทำเพลง เพราะฉะนั้นก็เลือกไปควบคุมสิ่งที่เราควบคุมได้ดีกว่า
แปลว่าทุกวันนี้ทำงานด้วยตัวตนและความชอบของตัวเองล้วนๆ เลย
ใช่ เพราะถ้าเอาความชอบของตัวเองไปผูกไว้กับอะไรบางอย่าง เช่น ชื่อเสียง ความนิยมชมชอบ หรือตัวเลข ในวันหนึ่งถ้ามันอยู่ในระดับที่มันโอเคมากๆ แล้ววันหนึ่งมันไม่ได้อยู่ในระดับที่เราคาดหวังไว้ แปลว่าเราจะไม่ได้ทำสิ่งที่เราชอบอย่างนั้นเหรอ เพราะฉะนั้นเราแยกกันดีกว่า
เป็นศิลปินมา 15 ปีแล้ว มองเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
โลกยุคนี้มันเปลี่ยนไปเร็ว ตอนทำวงตอนนั้นยังเป็นซีดี เป็นไวนิล ถัดมาก็เป็นดิจิทัลเต็มรูปแบบ ช่องทางการติดตามหรือการพูดคุยระหว่างศิลปินกับแฟนเพลงก็เหมือนกัน ช่วงยุคแรกๆ ของการมีอินสตาแกรม เฟซบุ๊ก มันเป็นช่วงยุคเปลี่ยนผ่าน หลายๆ คนรวมถึงศิลปินอาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำตัวยังไง จะต้องโพสต์อะไร อะไรโพสต์ได้ โพสต์ไม่ได้ PDPA อะไรต่างๆ ยังไม่มีใครรู้เลยด้วยซ้ำ มันก็ค่อยๆ พัฒนามาเรื่อยๆ ซึ่งดีแล้วนะ ที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ คนเริ่มมีการตระหนักรู้ (awareness) และมีความรู้ (knowledge) ในเรื่องพวกนี้ดีขึ้นเรื่อยๆ ดีแล้วก็ขอให้ดีต่อไป
15 ปีในวงการนี้สอนอะไรเรา กับบทบาทที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
อยู่กับปัจจุบัน เพราะทุกอย่างมีวันเปลี่ยนแปลง มีวันจบลง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในเฟสไหนของชีวิต โดยเฉพาะเรื่องของชื่อเสียง
ยกตัวอย่าง สมมติคุณมีผู้ติดตาม (follower) ล้านฟอล แต่ถ้าวันหนึ่งอัลกอริทึมเปลี่ยนไป วันรุ่งขึ้นคุณก็จะกลายเป็นคนธรรมดาแล้วนะ เพราะฉะนั้นเราก็ทำอะไรที่ทำได้ไปวันต่อวัน แล้วค่อยๆ เรียนรู้สิ่งที่มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดีกว่า
แปลว่าไม่ได้เป็นคนวางภาพในอนาคตอีก 5 ปี อะไรแบบนั้น
มีเป็นภาพกว้างๆ มากกว่า ให้เป็นเหมือนเป้าหมาย ที่อาจจะเป็นจริงหรือไม่จริงก็ได้ แต่วางไว้ให้มันเป็นสิ่งที่เราอยากเดินไป มีไว้นิดนึง เหมือนการเล่นเกมผ่านด่านไปทีละด่าน แต่สุดท้ายมันก็ต้องมาโฟกัสที่ปัจจุบันเป็นหลักก่อนอยู่ดี
กำลังจะออกเพลงใหม่ภายใต้สังกัด LOVEiS รอบนี้เอาอะไรมาฝากแฟนเพลง
น่าจะเป็นเรื่องสีสันอะไรบางอย่างที่มีความแปลกใหม่ขึ้น ปีนี้เข้าปีที่ 10 ของการเป็นศิลปินเดี่ยวของเรา เลยรูู้สึกว่าอยากจะลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ ทำอะไรที่สนุกขึ้น ทำโดยไม่ต้องคิดเยอะ อยากลองปล่อยจอยดูบ้าง ฝากไปลองฟังกันดู
เป็นเพลงเนื้อหาประมาณไหน สปอยล์ได้ไหม
ชื่อเพลงว่า ‘แปลก’ เรื่องราวคือ บางครั้งเราไปรู้สึกดีกับใคร หรือไปคุยกับใครแล้วรู้สึกว่ามันไม่น่าพัฒนาต่อได้หรอก เหมือนเราเป็นคนละประเภท (category) กัน แต่แปลกดี ที่แม้เราจะต่างกัน ฉันก็ยังรักเธออยู่ดี
เวลาทำเพลงคาดหวังให้แฟนเพลงได้อะไรกลับไปเวลาฟังเพลงเรา
ตลอดระยะเวลาที่เป็นศิลปิน จะมีคนส่งข้อความมา หรือเวลาเจอก็จะมีคนเข้ามาบอกว่าเพลงเรามีอิทธิพลบางอย่างกับชีวิตเขา หรือมาขอบคุณที่เราเขียนเพลงนี้ออกมา เพราะทำให้เขากล้าตัดสินใจบางเรื่องในชีวิต
คงเป็นเรื่องพวกนี้แหละ ที่อยากให้แฟนเพลงได้จากเราไป หรือถ้ามีเรื่องอะไรแย่ๆ ก็หวังว่าถ้าฟังเพลงเราแล้วลืมเรื่องแย่ๆ ไปใน 3-4 นาทีที่ฟังเพลงเราก็โอเคแล้ว
สุดท้าย ถ้าให้นิยามตัวเองในตอนนี้ด้วย 1 คำ จะนิยามว่า
เราเป็นคนมีหลายเลเยอร์ เป็นคน ‘แปลก’ แต่ไม่ประหลาด