4 Min

สาเหตุที่ ‘สตรีทฟู้ดไทยราคาถูก’ เพราะชีวิตของเราก็ราคาถูก?

4 Min
799 Views
27 May 2022

ในกรุงเทพฯ ถ้าเรามองสิ่งต่างๆ รอบตัวเทียบกับเมืองใหญ่ๆ ของประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย ก็แทบเป็นเรื่องยากที่จะหาอะไรไปเชิดหน้าชูตากับเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน หรือสินค้าและบริการต่างๆ (ถ้าพิจารณาจากคุณภาพและราคา)

อย่างไรก็ดี ถ้าจะมีสิ่งหนึ่งที่จะยังพอเหลือให้ชาวไทยภาคภูมิใจ สิ่งนั้นก็อาจเป็นสตรีทฟู้ดหรืออาหารข้างถนนของไทย ที่ทั้งหลากหลาย อร่อย และราคาถูก ระดับที่น่าจะเป็นตัวชูโรงทางการท่องเที่ยวได้ ถ้ารัฐสนับสนุน

แต่มันเป็นแบบนั้นจริงเหรอ?

ถ้าใครพอรู้ การขยายตัวของสตรีทฟู้ดทั่วโลก โดยทั่วไปมันเกิดจากการขยายตัวของเมืองใหญ่ๆ ที่มาพร้อมกับความเหลื่อมล้ำ หรือพูดง่ายๆ ว่าในเมืองใหญ่ที่ค่าครองชีพไต่ขึ้นไปพร้อมกับระดับพัฒนาการทางเศรษฐกิจ ก็จะมีคนจนเข้ามาทำงานในเมืองเยอะ และคนจนเหล่านี้ก็มักจะอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ ไม่มีครัว ขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องการอาหารประทังชีวิต และสตรีทฟู้ดก็เลยเป็นที่พึ่งพาทางโภชนาการของบรรดาคนจนเมืองทั้งหลายนั่นเอง ซึ่งประเด็นนี้สารคดีชุด Street Food ของทาง Netflix ก็พูดเอาไว้อย่างซ้ำๆ ผ่านกรณีตัวอย่างของหลายประเทศ

พูดง่ายๆ เมืองที่ไม่มีคนจน ก็จะไม่มีสตรีทฟู้ดแบบที่เราเข้าใจกัน และก็ไม่แปลกที่พวกเมืองใหญ่ๆ ในประเทศพัฒนาแล้วที่มีการกระจายรายได้ดีๆ จะไม่ได้โด่งดังด้านสตรีทฟู้ด หรืออย่างน้อยสตรีทฟู้ดของเขาก็จะแพงกว่าของไทยแน่ๆ ดังที่เทียบได้ไม่ยากเลยว่าสตรีทฟู้ดสิงคโปร์กับญี่ปุ่นนั้นเป็นคนละโลกกับสตรีทฟู้ดของไทยและอินเดียเลย เพราะสองประเทศแรกมันไม่มีพวกแผงลอยและรถเข็นให้เห็นกันปกติแน่ๆ สตรีทฟู้ดคือร้านที่ต้องจ่ายค่าเช่าในอาคารที่เปิดหน้าร้านมาทางถนน แต่ไม่มีโต๊ะให้นั่งกิน คนกินต้องยืนกินบนถนน แต่ขณะที่สองประเทศหลัง สตรีทฟู้ดในชีวิตประจำวันไม่ได้หมายถึงร้านแบบดังกล่าว แต่หมายถึงร้านอาหารแผงลอยหรือรถเข็น (ดังนั้นจะบอกว่าเจ๊ไฝคือสตรีทฟู้ด คนไทยก็จะงงๆ หน่อย)

แน่นอนว่าสตรีทฟู้ดแบบไทยๆ ที่ขายกันบนทางเท้าก็ทำให้เกิดข้อโต้เถียงเรื่องการใช้พื้นที่สาธารณะ เพราะอย่างน้อยคนจำนวนมากก็คงไม่แฮปปี้ที่มีคนขายของหน้าบ้าน พร้อมทั้งก่อให้เกิดขยะเอาไว้ เราอยากจะข้ามข้อถกเถียงนี้ไป เพราะประเด็นที่เราอยากจะเล่าคือเหตุผลว่าทำไมสตรีทฟู้ดไทยราคาถูก?’

การที่สตรีทฟู้ดไทยมักเป็นรถเข็นหรือหาบเร่แผงลอย ก็คือมันไม่ต้องจ่ายค่าเช่าทำให้ต้นทุนลดลง และเป็นที่มาของราคาถูก เข้าถึงง่าย และจริงๆ การขายอาหารสไตล์กองโจรแบบนี้ก็ยังทำให้คนขายสามารถหลบเลี่ยงภาษีได้ด้วย ไม่ว่านั่นจะเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

จริงๆ แค่ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าและภาษี ก็เป็นเหตุผลเบื้องต้นที่พอจะอธิบายได้แล้วว่าทำไมสตรีทฟู้ดในไทยมีราคาถูกกว่าอาหารปกติทั่วๆ ไปตามร้านอาหาร และสตรีทฟู้ดในบรรดาประเทศพัฒนาแล้ว แต่จริงๆ มันมีเหตุผลที่อาจดาร์คกว่านั้น

 นั่นก็คือความสกปรก

ชาวไทยมักจะดูคลิปสตรีทฟู้ดของอินเดียด้วยความขบขันปนสมเพชในความสกปรกแต่ในความเป็นจริงโดยทั่วไป ในไกด์ไลน์การท่องเที่ยวของชาวตะวันตก เขาก็แทบจะหลีกเลี่ยงสตรีทฟู้ดของไทยเหมือนกัน ด้วยเหตุผลว่าเขากลัวอาหารเป็นพิษ 

เราอาจพูดขำๆ ว่าคนพวกนี้ธาตุอ่อนซึ่งก็อาจจะจริง แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่าเหตุผลที่เราคนไทยนั้นธาตุแข็งในระดับที่ไปกินอาหารที่อื่นๆ โดยไม่ต้องกลัวท้องเสีย’ (โอเค ยกเว้นอินเดียไว้สักประเทศ) ก็เพราะอาหารบ้านเราไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ และผู้นำของอาหารกลุ่มนี้ก็คือสตรีทฟู้ด

ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น บ้านเราไม่มีหน่วยงานด้านความปลอดภัยทางอาหารเหรอ? คำตอบก็คือมีแน่ๆ เหมือนที่อื่นๆ ในโลก (รวมทั้งอินเดีย) แต่ประเด็นคือ พอพูดถึงสตรีทฟู้ด การกำกับดูแลใดๆ ของรัฐมันไม่ได้ผล เพราะเรากำลังพูดถึงธุรกิจแบบกองโจรที่ไม่ต้องจ่ายภาษีด้วยซ้ำ ดังนั้นมันไม่มีใครทำตามมาตรฐานความสะอาดที่ตั้งโดยรัฐหรอก

เราอาจไม่รู้สึกอะไรเวลานั่งกินอาหารข้างถนนบนฟุตบาทแล้วเห็นหนูและแมลงสาบวิ่งไปมา แต่ประเด็นคือ ไอ้ของพวกนี้มันทำให้ร้านอาหารปกติที่อยู่ภายใต้การควบคุมด้านความสะอาดของรัฐถูกปิดได้แบบชั่วข้ามคืนเลยถ้าจะว่ากันในมาตรฐานประเทศพัฒนาแล้ว

ในแง่นี้ เราก็จะเห็นเลยว่าสาเหตุที่สตรีทฟู้ดบ้านเราราคาถูกนั้นเกิดจากการที่ไม่ต้องจ่ายค่าเช่า ไม่ต้องเสียภาษี ยังไม่พอ มันยังไม่ต้องรักษามาตรฐานความสะอาดใดๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นในกระบวนการเตรียมวัตถุดิบ การประกอบอาหาร หรือการซักล้างอุปกรณ์และภาชนะต่างๆ เพราะอย่างน้อยๆ การล้างหม้อกระทะจานชามบนพื้นถนนแล้วทิ้งน้ำเสียลงท่อระบายน้ำ มันก็คงจะเป็นภาพที่เราไม่ได้เห็นในประเทศพัฒนาแล้วแน่ๆ เพราะการทำแบบนั้นคงจะผิดกฎหมายหลายกระทงเลย

ที่เล่ามาแบบนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรจะกวาดล้างหรือกระทั่งปฏิรูปสตรีทฟู้ดทั้งแผงกันแบบถอนรากถอนโคน เพราะจริงๆ สิ่งที่คอยรับผลประโยชน์จากการกวาดล้างสตรีทฟู้ดของรัฐนั้นไม่ใช่อะไรนอกจากเครือร้านสะดวกซื้ออันดับหนึ่งของประเทศที่ทุกวันนี้เอาสตรีทฟู้ดมาขายทั้งแบบแช่เย็นและแช่แข็ง แถมบางสาขายังพัฒนาให้มีอาหารตามสั่งขายด้วยซ้ำ

หรือพูดง่ายๆ ถ้าสตรีทฟู้ดหายไปจากกรุงเทพฯ ณ ตอนนี้ ผลก็คือคนกรุงเทพฯ ก็คงจะต้องไปซื้ออาหารตามเครือร้านสะดวกซื้ออันดับหนึ่งของประเทศแทน เพราะเขายึดทำเลทองไว้หมดแล้ว คุณไม่มีสตรีทฟู้ดกิน คุณก็ต้องไปซื้ออาหารของเขากิน ซึ่งเราก็รู้ดีว่า เครือบริษัทนี้จะได้ประโยชน์ขนาดไหนถ้าคนไทยทั่วๆ ไปต้องมากินอาหารของเขาทั้งหมด

แต่ในทางกลับกัน ถ้าเราพยายามจะเอาสตรีทฟู้ดไทยเข้าระบบให้หมด ไม่ว่าจะเป็นระบบภาษีหรือความสะอาด สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ ราคาจะขึ้นกันหมด และนั่นอาจทำให้ราคาสตรีทฟู้ดนั้นเท่ากับหรือกระทั่งแพงกว่าราคาอาหารตามเครือร้านสะดวกซื้ออันดับหนึ่งของประเทศซึ่งนั่นก็น่าจะเป็นจุดจบของสตรีทฟู้ดแบบที่เรารู้จักมาทั้งชีวิตเช่นกัน

ดังนั้น ประเด็นพวกนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่จะมีทางออกง่ายๆ และเอาเข้าจริงๆ หนทางหนึ่งที่อาจสมเหตุสมผลที่สุดก็คือ การจัดพื้นที่ของสตรีทฟู้ดให้เป็นเรื่องเป็นราว (อาจคล้ายๆศูนย์อาหารสาธารณะหรือ Hawker Center ของสิงคโปร์) พร้อมมีมาตรการอุดหนุนให้สตรีทฟู้ดนั้นสามารถขายได้ในราคาที่ไม่ได้สูงกว่าตอนนี้ ทั้งที่จะต้องเสียค่าเช่า เสียภาษี และทำตามมาตรฐานความสะอาด

เรื่องพวกนี้ไม่ได้ยากเย็นเลย ถ้ารัฐไทยมองว่าวัฒนธรรมสตรีทฟู้ดคืออะไรบางอย่างที่ต้องอนุรักษ์ หรือแม้กระทั่งควรจะสนับสนุนเพื่อผลด้านการท่องเที่ยวหรือกระทั่งผลทางด้านซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทยในเวทีโลกอะไรก็ว่าไป

เพราะถ้ารัฐไม่แทรกแซงแบบนี้ ทางออกก็คงจะมี 2 ทาง คือ ทางแรก เป็นแบบปัจจุบันที่ขายแบบกองโจร ไม่ถูกควบคุมใดๆ โดยรัฐเหมือนที่เป็นอยู่ หรือทางที่สอง คือ รัฐพยายามเข้าควบคุมและใช้มาตรฐานการค้าและความสะอาดตามปกติกับสตรีทฟู้ด จนส่งผลให้สตรีทฟู้ดแบบเดิมๆ สูญพันธุ์ไป และคนไทยก็ต้องต่อคิวซื้ออาหารจากเครือร้านสะดวกซื้ออันดับหนึ่งของประเทศแทบทั้งหมด

‘Better City – เมืองที่ดีสำหรับทุกคนคือแคมเปญล่าสุดของ BrandThink ที่ตั้งใจจะถ่ายทอดเรื่องราวปัญหาสุดคลาสสิกของเมืองกรุง ที่เราต้องเผชิญมาหลายทศวรรษและไม่เคยแก้ไขได้สำเร็จเสียที

มาร่วมส่งเสียงของคุณ และฟังเสียงของคนอื่นไปพร้อมๆ กัน ผ่านคอนเทนต์สนุกๆ สร้างสรรค์ กระตุกต่อมคิด ในรูปแบบบทความ คลิปวิดีโอ อินโฟกราฟิก ภาพถ่ายสารคดี รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ตลอดหนึ่งเดือนเต็มนับจากนี้

เพื่อขับเคลื่อนกรุงเทพฯ ไปสู่เมืองที่ดีสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง