3 Min

รู้มั้ย นักวิทยาศาสตร์ ไม่เชื่อว่า “สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า” มีอยู่จริง

3 Min
2630 Views
11 Oct 2020

พูดถึงพื้นที่ที่ “ลึกลับ” ที่สุดในโลก ถ้าถามหลายๆ คน คำตอบก็อาจจะเป็น “สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า” หรือพื้นผืนทะเลรูปสามเหลี่ยมระหว่างทางตอนใต้ของรัฐฟลอริดา เปอร์โตริโก และประเทศเบอร์มิวดา ที่เราได้ยิน “ความลึกลับ” ของมันมาตั้งแต่เด็กๆ

เพราะในพื้นที่แห่งนี้ ว่ากันว่าไม่ว่าจะเป็นเรือหรือเครื่องบินที่ผ่านไป ก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ระดับที่หาเท่าไรก็ไม่เจอ

ซึ่งมันก็ทำให้เกิดตำนานเกี่ยวกับมันจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการอ้างว่าที่ตรงนี้มีประตูมิติลับ มันมีวิญญาณของทาสแอฟริกามหาศาลที่จมทะเลตายตรงนั้นในยุคค้าทาสคอยเอาชีวิตคน มันมีมนุษย์ต่างดาวคอยลักตัวคนในบริเวณนั้น ไปจนถึงการที่เป็นที่ทดลองอาวุธลับๆ ของกองทัพสหรัฐอเมริกา และก็ไม่แปลกอีกที่มีป็อปคัลเจอร์สารพัดที่เล่นกับ “ความลึกลับ” ตรงนี้ เรียกได้ว่าขนาดโดราเอมอนก็ยังมีภาคพิเศษที่โดราเอมอนและผองเพื่อนไปบุกสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเลย (ออกฉายครั้งแรกในปี 1983)

อย่างไรก็ดี รู้มั้ยครับว่า ในทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ไม่ได้มีความลึกลับเลย และมันไม่ได้มีอยู่จริงด้วย และหน่วยงานราชการของสหรัฐอเมริกาก็ถึงกับออกมาประกาศอย่างหนักแน่นว่ามันไม่มีจริง

ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? ตอนแรกเราก็ต้องกลับไปดูก่อนว่าไอเดียเรื่อง “สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า” มันมายังไงก่อน

คือถ้าไปค้นจริงๆ คอนเซ็ปต์เรื่อง “สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า” เป็นคอนเซ็ปต์ที่เพิ่งเกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือเพิ่งเกิดราว 70 ปีที่ผ่านมานี้เอง โดยในช่วง 1950’s และ 1960’s สื่อสัญชาติอเมริกันพยายามปั้นว่ามันมี “ความลึกลับ” ในพื้นที่แห่งนี้ เพราะในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 มันมีทั้งเครื่องบินรบ และเรือจำนวนมากหายไป ณ พื้นที่แห่งนี้ และแทบทั้งหมด ทุกวันนี้ก็ยังหาไม่พบว่าหายไปไหน แม้ว่าจะค้นอย่างจริงจัง และหลังจากนั้น โลกก็เลยได้รู้จัก “สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า” มาจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี ถ้าไปถามนักวิทยาศาสตร์ที่มีข้อมูลอยู่ในมือ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย เพราะพื้นที่ตรงนั้น มันคร่อมกับเส้นศูนย์สูตรและเต็มไปด้วยพายุโซนร้อนจำนวนมาก ดังนั้นถ้ามียานพาหนะอะไรเข้าไปจะเจอพายุจนจมทะเลไปก็ไม่แปลก และการหาซากเรือหรือเครื่องบินที่จมทะเลลึกไปแล้ว อย่าว่าแต่ในอดีตเลย มาปัจจุบันมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะหาพบ

และที่สำคัญก็คือ จำนวนพวกเรือหรือเครื่องบินที่หายไปบริเวณนั้น มันก็ไม่ได้มากมายมากกว่าพื้นที่อื่นๆ ที่ท้องทะเลแปรปรวนอย่างมีนัยยะสำคัญใดๆ เลย กล่าวคือมันก็มีเรือและเครื่องบินหายไปจำนวนมาก แต่คนไม่สนใจ ไปโฟกัสแต่ตรงนั้น แล้วก็แต่งเรื่องเป็นเรื่องเป็นราว เป็นตุเป็นตะ

ซึ่งถ้าไปขุดค้นอีก บางเคสเครื่องบินหายที่เป็นเคสใหญ่โต จริงๆ มันอธิบายได้จากการที่นักบินนั้นเมาเหล้าก่อนมาบินด้วยซ้ำ

เอาจริงๆ เรื่องคลาสสิกอย่างที่การที่เวลาเข้าไปในพื้นที่แล้ว “เข็มทิศเริ่มชี้แปลกๆ และไม่ได้ชี้ไปทางทิศเหนือ” ซึ่งเป็นเรื่องที่คลาสสิกสุดๆ เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่คนทั่วไปไม่รู้ เพราะเข็มทิศมันไม่ได้ชี้ไปในทางทิศเหนือเป๊ะๆ อยู่แล้ว แต่มันจะเบี้ยวๆ หน่อย และความเบี้ยวมันจะเปลี่ยนไปขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ตรงไหนในโลก อันนี้เป็นเรื่องปกติที่รู้กันในทางวิทยาศาสตร์ แต่คนทั่วไปไม่รู้ และมันก็เลยทำให้บางทีมันกลายเป็น “เรื่องลึกลับ” ไป

นอกจากนี้คำอธิบายที่เป็นวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับวัตถุที่หายไปบริเวณนั้นก็มีอีกเพียบ ตั้งแต่เรื่องของกระแสน้ำ ไปจนถึงการที่มีแก๊สมีเทนลอยขึ้นมาจากบริเวณนั้นบางส่วนในระดับที่ทำให้ความหนาแน่นของน้ำลดลงอย่างรวดเร็วและทำให้เรือจมลงทันทีได้ ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่คนเถียงกัน เพราะหลายคนก็ไม่คิดว่าบริเวณตั้งนั้นจะมีก๊าซมีเธนมากขนาดนั้น

ซึ่งที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะอธิบายแบบไหน ทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่เชื่อว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ามีอยู่จริง เรือและเครื่องบินที่หายไปบริเวณนั้นไม่ได้หายไปมากกว่าที่อื่น และปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นในบริเวณนั้นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่อื่นเช่นกัน ไม่ได้มีอะไรประหลาดพิสดาร

ดังนั้น “ตำนาน” ทั้งหมดของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าก็ดูจะเกิดจากการที่สื่อโหมบอกว่าพื้นที่สามเหลี่ยมตรงนั้นมีปรากฏการณ์ประหลาด (ทั้งที่มันไม่ประหลาด) และพอคนเชื่อว่ามันประหลาดแล้ว ก็ผลิตคำอธิบายต่างๆ นาๆ มาจนเป็นตำนานถึงปัจจุบันนี่เอง

อ้างอิง