อยากรู้แต่ไม่มีเวลา อ่านแค่ตรงนี้พอ
ที่จริงแล้วในแต่ละปีมีเด็กถูกฆาตกรรมทั่วโลกมากกว่า 200,000 ราย รวมถึงกรณีเด็กถูกพ่อแม่หรือคนในครอบครัวลงมือเอง ซึ่งบางกรณีการฆ่าก็เกิดจาก ‘เจตนาดี’ เพราะพ่อแม่คิดว่าลูกจะสบายที่สุดหรือหลุดพ้นจากความเจ็บปวดได้ แต่ก็มีกรณีที่พ่อแม่ผู้ปกครองเจ็บป่วยทางจิตหรือเผชิญกับความกดดันในชีวิต ซึ่งถ้าดูตัวอย่างจากสหรัฐอเมริกาจะพบว่า คดีแบบนี้ผู้ลงมือก่อเหตุมีทั้งพ่อและแม่ในสัดส่วนใกล้ๆ กัน
ภาพวาดชวนสยอง ‘Saturn Devouring His Son’ ของ ฟรันซิสโก โกยา (Francisco Goya) ศิลปินสเปนที่มีชีวิตอยู่ในยุคศตวรรษที่ 18-19 เป็นศิลปะแนวจินตนิยม (Romanticism) ที่ถ่ายทอดภาพยักษ์ไททันในตำนานกรีกกำลังกลืนกินลูกตัวเองเพราะกลัวจะถูกโค่นอำนาจ และในสมัยโบราณการที่พ่อหรือแม่จบชีวิตลูกตัวเองเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ โดยเหตุผลก็มีตั้งแต่เด็กดูท่าทางอ่อนแอและอาจจะ ‘ไม่รอด’ จึงต้องกำจัดทิ้งไป รวมถึงการลดจำนวนปากท้องที่จะมาแย่งอาหารในครอบครัวที่ยากจน
แม้ในปัจจุบันการฆาตกรรมจะถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงทั่วโลก แต่คดีฆาตกรรมก็ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงคดีที่เด็กทารกเป็น ‘เหยื่อ’
รายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ที่สำรวจข้อมูลปี 2008-2017 พบว่ามีเด็กอายุตั้งแต่ 0-14 ปี อย่างน้อย 205,153 คน ‘ถูกฆาตกรรม’ ทั่วโลก โดยมีทั้งการฆาตกรรมโดยไม่เจตนา เด็กถูกลูกหลงจากการใช้ความรุนแรงในสังคมรอบตัว และกรณีที่เด็กถูกพ่อหรือแม่ของตัวเอง ‘จัดการ’ ด้วยเหตุผลต่างๆ
UNODC ระบุถึงกรณีพ่อแม่ฆาตกรรมลูกตัวเอง หรือ Filicide มักเกิดในช่วงเด็กเพิ่งลืมตาดูโลกไปจนถึงช่วงขวบปีแรกของชีวิต และเหตุผลเบื้องหลังการเข่นฆ่ารวมถึง ‘เจตนาดี’ (Altruism) ด้วยเช่นกัน โดยมักจะเกิดกับกรณีที่เด็กเจ็บป่วยหรือทรมาน จนพ่อแม่รู้สึกว่าการทำให้ลูกตายจะช่วยให้หลุดพ้นจากความเจ็บปวด และรวมถึงกรณีพ่อแม่จบชีวิตทั้งครอบครัว เพราะเผชิญกับปัญหาหรือความสิ้นหวังในชีวิตจนรู้สึกว่าไม่อยากให้ลูกต้องเผชิญโลกที่โหดร้ายเพียงลำพัง
ส่วนกรณีที่เกิดจาก ‘เจตนาร้าย’ มีทั้งการกำจัดลูกเพื่อแก้แค้นภรรยา สามี หรือคู่ครองซึ่งเกลียดชังกันไปแล้ว รวมถึงกรณีที่พ่อแม่เจ็บป่วยทางจิตใจจนนำไปสู่การลงมือทำร้ายลูกตัวเองจนถึงแก่ชีวิต ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นพฤติกรรมที่พบเห็นได้ในสังคมที่มีปัญหาความรุนแรง ความยากจน รวมถึงการขาดแคลนโอกาสในชีวิต จนนำไปสู่การตัดสินใจที่เป็นการละเมิดสิทธิและชีวิตของผู้อื่น
แม้แต่ประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาที่มีปัญหาความรุนแรงก็มีสถิติคดีพ่อแม่ฆาตกรรมลูกตัวเองเฉลี่ย 500 คดีต่อปี โดย 72 เปอร์เซ็นต์ของเด็กที่เสียชีวิต อายุระหว่าง 0-6 ปี และผู้ก่อเหตุก็มีทั้งพ่อและแม่ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน (พ่อ 57.4 เปอร์เซ็นต์ แม่ 42.6 เปอร์เซ็นต์) ขณะที่ 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ก่อเหตุคือพ่อหรือแม่ที่แท้จริงของเด็ก และอีก 10 เปอร์เซ็นต์เป็นพ่อหรือแม่เลี้ยง
สิ่งเหล่านี้อาจเป็นภาพทับซ้อนกับกรณีของ ‘น้องต่อ’ ‘แม่นิ่ม’ และ ‘พ่อพุด’ ในคดีเด็ก 8 เดือนหายตัวไปจากบ้านที่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายไปเป็นคดีค้าประเวณี ละเมิดผู้เยาว์ และอาจถึงขั้น ‘ฆาตกรรม’ ซึ่งเชื่อมโยงกับปูมหลังของพ่อและแม่เด็กที่คนหนึ่งอายุ 19 ปี และอีกคนก็เป็นเยาวชนอายุ 17 ปี
ชีวิตของทั้งคู่ถูกตีแผ่อย่างละเอียดผ่านสื่อ และเรียกเสียงประณามด่าทอจากผู้ใช้สื่อโซเชียล แต่ ‘มูลนิธิกระจกเงา’ ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรที่ทำเรื่องคนหายมานานนับสิบปี ได้ทวีตว่าเรื่องนี้ ‘ต้องไม่มองอย่างผิวเผิน’ แค่เพียงเกิดเหตุร้ายในครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง และต้องมองให้ลึกถึงต้นเหตุ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่มีมาก่อน ปัญหาเศรษฐกิจภายในครอบครัว ความกดดันภายในครอบครัว ภาวะซึมเศร้าจากการเลี้ยงดูเด็กเล็กตามลำพัง ทักษะชีวิตและความพร้อมในการดูแลเด็กเล็ก หรือปัญหาอื่นๆ ที่นำมาซึ่งการตัดสินใจก่อเหตุด้วยความรุนแรงหรือการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม
นอกจากนี้มูลนิธิกระจกเงายังระบุว่า เวลาที่มีเด็กเล็กหายตัว สิ่งที่ต้องประเมินเป็นลำดับแรก คือ 1. ปัญหาแย่งสิทธิ์ปกครองบุตร 2. อุบัติเหตุ 3. ความรุนแรงในครอบครัวและเด็กมีโอกาสจะถูกลักพาตัวได้ทั้งจากคนใกล้ชิดหรือคนภายนอกแต่ผู้เกี่ยวข้องควรประเมินจากสภาพครอบครัวและที่เกิดเหตุ
ที่สำคัญคือกระบวนการเก็บพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุจำเป็นต้องทำตั้งแต่ช่วงแรกของการรับแจ้งเด็กหายและข้อมูลส่วนบุคคลในการสืบสวนไม่ควรถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะ
อ้างอิง
- Twitter. Mirror_org. https://bit.ly/3IYC115
- CNN. A parent killing a child happens more often than we think. https://cnn.it/3Ix1tt6
- JAAPL. A Review of Maternal and Paternal Filicide. https://bit.ly/3IA4gS9
- UNODC. GLOBAL STUDY ON HOMICIDE Killing of children and young adults. https://bit.ly/2XYs6l7