4 Min

รู้ไหม ย้อนไป 60 ปีก่อน ไม่มีชาติตะวันตกแม้แต่ชาติเดียวที่ “หนังโป๊” ถูกกฎหมาย

4 Min
1461 Views
23 Sep 2021

Select Paragraph To Read

  • การปลดปล่อยทางเพศของ “เสรีประชาธิปไตย” ในยุโรป
  • ทำไมเขาถึงทำแบบนั้น?
  • อุตสาหกรรม ‘สื่ออเมริกา’ กับการปลดปล่อยอวัยวะเพศ
  • 80s จุดเปลี่ยนของหนังโป๊ในอเมริกาสู่หนังโป๊ที่เรารู้จัก

เวลาสังคมไทยมีเรื่อง “โป๊ๆ เปลือยๆ ” แบบเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา ประเด็นที่จะทำให้คนโต้เถียงกันตลอดก็คือ การที่ “หนังโป๊” นั้นควรจะถูกกฎหมายรึยัง?

ซึ่งเราก็อยากจะเล่าย้อนว่า เอาจริงๆ แม้แต่ในโลกตะวันตกเอง “หนังโป๊” ก็เพิ่งจะถูกกฎหมายไม่นานเท่าไร และมันมี ‘เงื่อนไข’ ของมัน

การปลดปล่อยทางเพศของ “เสรีประชาธิปไตย” ในยุโรป

ถ้าดูทุกวันนี้ว่าประเทศไหน “หนังโป๊” เป็นสิ่งถูกกฎหมายบ้าง เราก็จะเห็นชัดเจนเลยว่าของพวกนี้มันถูกกฎหมายใน “โลกตะวันตก” เน้นๆ หรือไม่มีที่ใดเลยในทวีปเอเชียและแอฟริกาที่มันจะถูกกฎหมาย (ขนาดญี่ปุ่นนี่ก็ไม่ถือว่าถูกกฎหมายเต็มที่นะ ไม่งั้นเขาไม่ต้อง ‘เซนเซอร์อวัยวะเพศ’ หรอก) แต่ในทางกลับกัน มันก็แทบไม่มีประเทศไหนเลยในทวีปยุโรปและอเมริกาที่มันผิดกฎหมาย

ถ้าจะเล่าย่อๆ ก็คือในช่วงประมาณ 1970’s ประเทศยุโรปค่อยๆ ทำให้หนังโป๊เป็นสิ่ง “ถูกกฎหมาย” กันทีละประเทศ โดยเริ่มจากเดนมาร์กเป็นประเทศแรกในปี 1969 แล้วประเทศอื่นก็ตาม

ทำไมเขาถึงทำแบบนั้น?

อธิบายง่ายๆ เลยก็คือ ในสังคมที่ยึดถือในเสรีภาพพื้นฐานแล้ว เขาย่อมถือว่า สิ่งที่ทำแล้ว “ไม่เดือดร้อนใคร” ย่อมเป็นสิ่งที่ทำได้

ซึ่ง “ไม่เดือดร้อน” ในที่นี้พื้นฐานก็หมายถึงการไม่สร้างความเสียหายทางกายภาพให้กับใครไม่ว่าทางตรงและทางอ้อม

ซึ่งการ “ทำหนังโป๊” และ “ดูหนังโป๊” มันไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ใครเดือดร้อน และไปๆ มาๆ มันก็เป็นซากเดนกฎระเบียบจากสมัยที่สังคมเป็นอำนาจนิยม และต้องการควบคุมศีลธรรมของประชาชน กฎหมายพวกนี้ก็เลยต้องยกเลิกไป

ปัจจัยที่สำคัญก็คือ หลังการลุกฮือขึ้นของคนหนุ่มสาวตะวันตกในยุค 1960’s ที่ “เปิดกว้างทางเพศ” ขึ้นในทุกด้าน ส่งผลให้บรรยากาศทางความคิดเรื่องเพศในสังคมเปลี่ยน สุดท้ายกฎหมายก็เปลี่ยนตาม และนี่ก็คือวิถีปกติของกฎหมาย ที่สุดท้ายไม่ควรจะขัดกับความคิดของคนในสังคม

เพราะกฎหมายในระบอบประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่อะไรนอกจากสิ่งที่สะท้อนความคิดของคนในสังคม
และก็แค่นี้เอง สำหรับสังคมที่เขาเคารพเสรีภาพของประชาชน เห็นว่าเสรีภาพเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต้องมามีพิธีรีตองอะไรมากมาย ถ้ากฎหมายไปจำกัดเสรีภาพ ก็ยกเลิกมันไปก็เท่านั้นเอง

อุตสาหกรรม ‘สื่ออเมริกา’ กับการปลดปล่อยอวัยวะเพศ

ขณะที่ในยุโรป การยกเลิกกฎหมายแบนสื่อโป๊นั้นเกิดขึ้นไปทีละประเทศ แต่ในอเมริกา เราจะไม่เห็นอะไรในทำนองเดียวกัน

เพราะ “ชาติเกิดใหม่” อย่างอเมริกา เอาจริงๆ มันไม่มีกฎหมายแบน “หนังโป๊” หรือให้ตรงกว่านั้น ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 พวกสื่อต่างๆ นั้นก็ทำการ “เซนเซอร์ตัวเอง” เช่น ภาพยนตร์ต่างๆ ก็จะไม่มีฉากโป๊หรือกระทั่งฉากจูบ (ลองไปค้นสิ่งที่เรียกว่า Hays Code ได้) หรือนิตยสารแบบ Playboy ก็จะจำกัดความโป๊ให้วับๆ แวมๆ เต็มที่คือเห็น ‘นม’ แต่จะไม่มีเห็นอวัยวะเพศหรือขนเพชรเด็ดขาด

แต่สุดท้าย มาตรฐานพวกนี้ในอเมริกาทำให้อเมริกาสู้ยุโรปไม่ได้ เพราะช่วงปลาย 1960’s หนังฝั่งยุโรปเริ่มมีฉากเซ็กซ์โจ่งแจ้งแล้ว นิตยสารปลุกใจเสือป่าของฝั่งยุโรปแบบ Penthouse ก็โชว์ขนเพชรของนางแบบกันจะๆ เรียกได้ว่า โป๊กว่า Playboy เห็นๆ และทำให้ Playboy ไม่ได้เป็นผู้นำด้านความโป๊เปลือยอีกต่อไป

นี่ทำให้อเมริกาเริ่มยอมไม่ได้ ก็เลยมาทำบ้าง ซึ่งก็ต้องเข้าใจว่า อะไรพวกนี้ กฎหมายมันไม่ได้ห้ามชัดๆ แต่ก็ไม่ได้อนุญาตชัดๆ เช่นกัน

ผลก็คือ อเมริกาก็เริ่มลุยในการทำ “หนังโป๊ฉายโรง” ซึ่งหนังดังในยุคนั้นก็คือ Deep Throat ในปี 1972 ซึ่งมันก็เป็นหนังที่มีเรื่องราวแบบปกติ แต่มีฉากเซ็กซ์เห็นอวัยวะเพศ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการปฏิวัติมาก เพราะยุคนั้นก็ต้องเข้าใจว่า มันยังไม่มีม้วนวิดีโอนะครับ จะดูหนังต้องไปโรงเท่านั้น และนี่ก็เป็นเรื่องแรกๆ ที่โชว์อวัยวะเพศให้คนเห็นจะๆ บนจอใหญ่ๆ และสร้างความตื่นเต้นสุดๆ

และสิ่งที่ตามมาที่สำคัญก็คือ การที่ศาลสูงอเมริกันฟันธงชัดๆ ในปี 1973 เลยว่า อะไรที่มัน “มีคุณค่าทางศิลปะ การเมือง และวิทยาศาสตร์” นั้นถือว่า “ไม่โป๊” และได้รับการคุ้มครองภายใต้บัญญัติเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออกในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเรื่องไปถึงศาลสูงได้ ก็เพราะพ่อค้าหนังโป๊ที่แคลิฟอร์เนียโดนฟ้องว่าการขายหนังโป๊ของเขาผิดกฎหมาย เขาเลยฉุนฟ้องว่ากฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียละเมิดรัฐธรรมนูญ และส่งให้ศาลสูงสุดของอเมริกาตีความ

ดังนั้น ตั้งแต่ปี 1973 ศาลสูงอเมริกาก็สร้างหลักประกันไว้เลยว่าอะไรที่อ้างว่า “เป็นศิลปะ” ได้นั้นจะโป๊เท่าไรก็ได้ จะอล่างฉ่างแค่ไหนก็ได้ ไม่ถือว่าผิดกฎหมาย และทำให้ตลอดทศวรรษ 1970s อุตสาหกรรมภาพยนตร์อเมริกันก็เลยผลิตหนังโป๊มาฉายโรงแบบกระจุยกระจาย และได้ชื่อว่าคือ “ยุคทองของหนังโป๊” (และในยุคหลัง หนังที่สะท้อนอุตสาหกรรมหนังโป๊ในยุคนี้ก็ได้แก่ Boogie Nights (1997) และ Lovelace (2013) เป็นต้น)

พูดง่ายๆ ในอเมริกา หนังโป๊แบบเห็นการสอดใส่แบบจะๆ ฉายโรงได้มาตั้งแต่ยุค 1970’s แล้ว ดังนั้นไม่ต้องมาเถียงกันว่าหนังโป๊ถูกหรือผิดกฎหมาย เพราะในทางปฏิบัติ มันทำได้

80s จุดเปลี่ยนของหนังโป๊ในอเมริกาสู่หนังโป๊ที่เรารู้จัก

พอมายุค 1980’s สิ่งที่มาทำให้ “ยุคทองของหนังโป๊” จบลง ไม่ใช่นักศีลธรรมอะไร แต่เป็นเทคโนโลยีใหม่แบบม้วนวิดีโอ ที่ทำให้เกิดสตูดิโอหนังโป๊ใหม่ๆ ผลิต “หนังโป๊ทุนต่ำ” มาเพื่อขายแบบม้วนวิดีโอโดยเฉพาะ และก็เป็นการกรุยทางมาสู่ “หนังโป๊แบบไม่ต้องมีเรื่องราว” แบบที่เราคุ้นเคยกันทุกวันนี้

แต่ทั้งหมดทั้งมวล เราก็น่าจะพอเห็นว่า โลกตะวันตกเขาเลิกเถียงกันว่า “หนังโป๊ควรจะถูกกฎหมายหรือเปล่า” มาตั้งแต่ประมาณยุค 1970’s หรือพูดง่ายๆ มันน่าจะเลิกเถียงกันก่อนที่พวกเราจำนวนมากเกิดอีก

สิ่งที่ทำให้หนังโป๊เป็นเรื่องธรรมดานั้นเกิดขึ้นหลักๆ ก็เป็นเพราะบรรยากาศทางสังคมมันเปลี่ยน วัยรุ่นตะวันตกยุค 1960’s ออกมาเรียกร้องเสรีภาพทางเพศที่มากขึ้น และเปลี่ยน “มาตรฐานทางสังคม” ให้ “สื่อโป๊” ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเถียงกันอีกว่า “ควรถูกกฎหมาย” หรือไม่ เพราะถ้าสังคมทั้งสังคมรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องผิด สุดท้ายกฎหมายก็ต้องเปลี่ยนตาม ตราบที่บ้านเมืองปกครองแบบ “ประชาธิปไตย” ที่การออกกฎหมายย่อมสะท้อน “เจตจำนงของประชาชน”

และก็ต้องไม่ลืมว่าวัยรุ่นยุค 1960’s ที่ออกมาสู้ให้สังคมเปิดกว้างเรื่องเพศ มันคือคนรุ่น Baby Boomers ซึ่งในทางประชากรมีมากมายมหาศาล

ดังนั้น เมื่อคนพวกนี้อยู่ในวัยที่มีสิทธิ์มีเสียงเลือกตั้งเต็มๆ แล้วในยุค 1970’s คงไม่มีนักการเมืองที่สติดีคนไหนจะกล้า “ท้าชน” กับคนรุ่นนี้ โดยเฉพาะในมิติที่คนทั้งรุ่นเห็นร่วมกันอย่างเรื่องความเปิดกว้างทางเพศ และกฎหมายก็เลยเปลี่ยนอย่างที่เห็น

ส่วนถามว่าทำไมบ้านเมืองเราไม่เป็นแบบนั้น ตอบสั้นๆ คือในขณะที่ปี 1976 โลกตะวันตกหนังโป๊ถูกกฎหมายตามเจตจำนงของประชาชนกันหมดแล้ว บ้านเราเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา พ.ศ. 2519 (ซึ่งคือ ค.ศ. 1976) น่ะ

ดังนั้นก็ “ตามสภาพ” ครับ