3 Min

ตายแล้วไปไหน? ถ้าไม่อยากจัดพิธีกรรมแบบเดิมๆ

3 Min
1069 Views
27 May 2021

 

ในวัฒนธรรมการจัดการศพทั่วโลกมักผูกพันกับพิธีกรรมทางศาสนาเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่หลังจากที่โควิด-19 แพร่ระบาด ทำให้หลายคนรู้สึกได้ว่า ‘ความตาย’ เป็นเรื่องใกล้ตัวยิ่งกว่าที่คิด ดังนั้นจึงเริ่มมีการวางแผนจัดการร่างกายหลังความตายของตัวเองในรูปแบบที่แปลกใหม่ มีประโยชน์ต่อโลก หรืออาจจะรื่นเริงมากกว่าเดิม

1. ไปเป็นปะการัง

ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ประเมินว่ามีสิ่งมีชีวิตมากกว่า 9 ล้านสปีชีส์ที่พึ่งพาปะการังในการอยู่อาศัย ล่า และผสมพันธุ์ แต่หลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นทำให้เกิดปัญหาปะการังฟอกขาว ปะการังกว่า 1 ใน 4 ทั่วโลกถูกทำลายเกินกว่าจะฟื้นฟูได้

ดังนั้นจะดีไหมถ้าหากเราได้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยมหาสมุทรด้วยการเป็นปะการังเทียมเสียเลย

เรื่องนี้เกิดขึ้นในฟลอริดา สหรัฐอเมริกา โดยในปี 1998 บริษัท Eternal Reefs ได้เปิดบริการเปลี่ยนเถ้ากระดูกของผู้เสียชีวิตไปผสมกับคอนกรีตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสร้างเป็นปะการังรูปโดมขึ้นมา ให้ร่างกายของเราได้ตอบแทนท้องทะเลด้วยการเป็นที่อยู่อาศัยของปลาและสาหร่าย

ซึ่งการจัดการศพเป็นปะการังเทียมนี้มีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นอยู่ที่ราว 93,500 บาท (2,995 ดอลลาร์) ขึ้นอยู่กับขนาดของปะการังซึ่งมีให้เลือก 3 ไซส์ ซึ่งมีบริการสำหรับสัตว์เลี้ยงด้วย ปัจจุบันมีบริการเปลี่ยนร่างเป็นปะการังมากกว่า 2,000 แห่งตามชายฝั่งของสหรัฐฯ

2. ไปเป็นปุ๋ย

หลายคนอาจไม่ชื่นชอบการอยู่ในน้ำ โลกของเรายังเปิดโอกาสให้คุณได้ช่วยสิ่งแวดล้อมโดยการกลับสู่พื้นดินด้วยการแปรสภาพเป็นปุ๋ยได้ด้วย โดยที่บริษัท Recompose ในซีแอตเทิล สหรัฐฯ เพิ่งเปิดให้บริการอย่างถูกต้องตามกฎหมายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2021 เพื่อนำร่างของผู้ตายมาเปลี่ยนเป็นปุ๋ยชั้นดีเหมาะแก่การเพาะปลูกใน 30 วัน

โดยจะมีดินปุ๋ยเกิดขึ้นราว 1 ลูกบาศก์เมตรต่อการย่อยสลายศพ 1 ร่าง และการจัดการศพแบบนี้ยังใช้พลังงานน้อยกว่าการเผาซึ่งก่อให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย

การเปลี่ยนร่างเป็นปุ๋ยมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 171,700 บาท (5,500 ดอลลาร์) ซึ่งรวมบริการทั้งหมดตั้งแต่ย่อยสลายร่างกาย การจัดการเรื่องเอกสารใบมรณบัตร และบริการอื่นๆ

3. ไปอวกาศ

สำหรับผู้ที่อยากเดินทางไปไกลมากกว่าที่เคย มีบริการส่งเถ้ากระดูกของเราออกสู่ห้วงอวกาศอันเวิ้งว้างได้เช่นกัน

บริษัท Celetis ในสหรัฐฯ เปิดให้บริการร่วมกับภารกิจทางอวกาศอื่นๆ ตั้งแต่ในปี 1994 เพื่อปล่อยให้ชีวิตหลังความตายของคุณได้เดินทางสู่วงโคจรของโลก ซึ่งร่วมมือกับบริษัททางอวกาศเชิงพาณิชย์ เช่น Space X ช่วยให้มันเกิดขึ้นได้จริง

แต่ด้วยความที่การเดินทางไปนอกโลกไม่ได้เกิดขึ้นทุกวันทาง Celetis ระบุว่าปัจจุบันมีการส่งเถ้ากระดูกสู่อวกาศปีละ 2-3 ครั้งแต่เชื่อว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะสามารถเปิดบริการได้อย่างน้อยปีละ 4 ครั้ง

การเดินทางครั้งสุดท้ายสู่อวกาศมีราคาอยู่ที่ราว 390,375 บาท หรือ (12,500 ดอลลาร์) เท่านั้น

4. ไปเป็นเพชร

ผู้ที่ชื่นชอบของแวววาว หลังความตายผ่านไปแล้ว คุณอาจอยากกลายเป็นเพชร ด้วยความที่ร่างกายมนุษย์เป็นคาร์บอนมากกว่า 18 เปอร์เซ็นต์ และเพชรก็เป็นคาร์บอนเช่นเดียวกัน ดังนั้นคุณสามารถนำเถ้ากระดูกหรือเส้นผมของผู้ตายไปผ่านกระบวนการความดันสูงให้กลายเป็นเพชร เช่นเดียวกับเพชรธรรมชาติ

โดยสนนราคาชีวิตหลังความตายอันแวววาว เริ่มต้นที่ 93,200 บาท (2,999 ดอลลาร์ ต่อ ¼ กะรัต)

5. ไปเป็นภาพวาด

คุณอาจอยากเป็นศิลปินผู้รักศิลปะตั้งแต่มีชีวิตจนถึงวันตาย นี่เป็นวิธีการจัดการศพแบบหนึ่งที่มีมายาวนานตั้งแต่อดีต คือนำเถ้ากระดูกของคุณไปเป็นส่วนผสมของสีเพนต์ภาพวาด เพื่อเป็นการระลึกถึงคนที่จากไป ซึ่งวิธีการนี้ไม่ได้มีราคาค่าใช้จ่ายที่แน่นอน

6. ไปเป็นพลุ

ถ้าหากคุณอยากเดินทางถึงสวรรค์แบบว่องไวเสียหน่อย การกลายร่างเป็นพลุยิงขึ้นไปโบยบินบนท้องฟ้าอาจเป็นตัวเลือกที่ดี บริษัท Greenlawn ในรัฐมิสซูรี สหรัฐฯ ให้บริการผสมเถ้าถ่านชีวิตของคุณเข้ากับดอกไม้ไฟ และยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างสวยงามอลังการหลากสี

โดยที่ราคาเริ่มต้นของการกลายเป็นพลุคือ 31,000 บาท (1,000 ดอลลาร์) ขึ้นไป

ปัจจุบันโลกตะวันตกเปิดกว้างเรื่องการจัดการศพมากขึ้น โดยที่เริ่มมีแนวโน้มในการจัดการร่างกายแบบใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และหลังจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้คนตะวันตกนิยมการเผาศพแทนการฝังมากขึ้น โดยที่ The Business Research Company บริษัทวิจัยข้อมูลทางการตลาด ระบุว่า อีก 20 ปีในสหรัฐฯ จะมีการเผาศพราว 78 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวจากอดีต

ซึ่งการเผาศพเป็นการเปิดโอกาสให้ครอบครัวมีตัวเลือกในการจัดการกับเถ้ากระดูกได้อย่างหลากหลายมากกว่าการฝัง แล้วคุณล่ะคิดว่าชีวิตหลังความตายของคุณจะไปที่ไหนดี?

อ้างอิง: