การใช้เวลาในการนั่งตีความสัญญะของหนัง ‘Beau Is Afraid’ อาจจะใช้เวลายาวนานพอๆ กับการใช้เวลาในการนั่งดูหนังเรื่องนี้ที่กินเวลาถึง 179 นาที ซึ่งจุดหมายปลายทางอาจจะนำพาไปสู่ความหัวเสียไม่ใช่น้อย เมื่อพบว่าคนที่ดู 10 คนอาจจะมองหนังแตกต่างกัน 10 แบบโดยสิ้นเชิงก็เป็นได้
เช่นเดียวกับผู้เขียนที่เมื่อดูหนังจบ เจ้าความมึนงงก็ตอกบัตรจู่โจมทำงานโดยทันที แม้จะมีประสบการณ์ ‘เหวอแดก’ กับการดูหนังมาไม่น้อย แต่ Beau Is Afraid ก็หาใช่สิ่งที่คุ้นชินเลย ตรงกันข้ามมันคือประสบการณ์เหนื่อยล้ากับการดูหนังที่น่าจดจำอีกครั้งในชีวิตของการชมภาพยนตร์
หนังเล่าเรื่องของ ‘โบ’ ที่เริ่มตั้งแต่คลอดจากครรภ์มารดา ความมืดที่กัดกินเวลายาวนาน (อย่างน้อยๆ ก็นานพอที่จะให้ความรู้สึกอึดอัดในโรงได้) จากนั้นเราก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายจากผู้เป็นแม่ ที่กำลังด่าหมอเนื่องจากอุบัติเหตุในการทำคลอด จากนั้นภาพก็ตัดมาที่ ‘โบ’ ชายหนุ่มที่กำลังจะออกจากศูนย์พักฟื้นผู้ป่วยจิตเวช และกำลังเดินทางไปพบกับแม่ของเขา โบในเวอร์ชั่นนี้พบกับสิ่งแวดล้อมที่ชวนเหวอในตึกโทรมๆ ที่เต็มไปด้วยสถานการณ์ชวนเหวอ ไม่ว่าจะเป็นฆาตกรต่อเนื่องเนื้อตัวล่อนจ้อน, คนเคาะประตูลึกลับที่คอยส่งจดหมายน้อยสอดใต้ประตูอยู่เสมอ, ศพที่นอนแห้งกรังไม่มีใครแลเหลียว จนนำพาให้โบต้องเจอวิบากกรรม จนต้องเลื่อนนัดแม่ และหลังจากนั้นคือวิบากกรรมเหนือจริงที่โบต้องเผชิญหน้า จนคนดูเองแทบจะกลายเป็นโรคประสาทตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้
แน่นอนว่า หากคุณได้มีโอกาสชมหนังเรื่องที่ผ่านๆ มาของ อารี แอสเตอร์ (Ari Aster) ก็อาจจะคุ้นชินกับความเหวอที่ไม่ทันตั้งตัวมานับตั้งแต่ Hereditary (2018) และ Midsommar (2019) กับความไม่น่าไว้วางใจในสถานการณ์อันแสนปกติ ก่อนจะค่อยๆ ทวีความโหดเหี้ยมที่ประเดประดังใส่อย่างไม่ยั้งในตอนท้ายของ Beau Is Afraid แม้ในท้ายที่สุดจะไม่ใช่หนังตระกูล Horror เหมือน 2 เรื่องที่นำเสนอก่อนหน้า แต่ก็หาได้ลดทอนความฮาร์ดคอร์ต่อคนดูไม่
ผู้เขียนพยายามนั่งตีความเรื่องราวของโบ ไม่ว่าจะเป็นสภาวะความหวาดกลัว โบอาจจะพยายามสร้างโลกจำลองของผู้ป่วยวิตกจริต ผู้ป่วยซึมเศร้า ผู้ป่วยไบโพลาร์ ไปจนถึงผู้ป่วยจิตเภท เพียงเพื่อแสวงหามุมมองที่สามารถเชื่อมต่อกับคนปกติให้เข้าใจถึงความซับซ้อนของผู้ป่วยเหล่านี้ แต่เมื่อมันอยู่ในมือคนทำหนังสุดเฮี้ยนอย่างแอสเตอร์ ความเข้าใจจึงกลายเป็นการปั่นประสาทแทน
หรือตัวละครแม่ ที่เป็นเหมือนต้นเรื่องที่นำพาโบสู่ความฉิบหายของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความพยายามกดทับในเชิงอำนาจ หรือการปลุกปั่นเพื่อให้โบต้องพบอิสรภาพที่แสนดำมืด ทั้งหมดทั้งมวล แม่ของโบนั้นแทบไม่ต่างกับปีศาจร้ายที่ตามมาหลอกหลอนให้โบต้องเจอกับชะตาชีวิตที่แสนจะเส็งเคร็ง ระหว่างดูก็นึกถึงวลีที่แม่พูดกับนักแสดงคนหนึ่งขึ้นมาได้
“เมื่อแม่สร้างโบขึ้นมาได้ แม่ก็สามารถทำลายโบได้เช่นกัน”
แม่ของโบจึงมีบทบาทในเชิงอำนาจเพื่อบ่งบอกถึงเงามืดที่พร้อมทำลายชีวิตคนคนหนึ่งได้อย่างเลือดเย็น
นั่นคือ 2 ประเด็นใหญ่ที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าจากหนัง Beau Is Afraid แต่ในความยิบย่อยที่เห็นในหนังที่พร้อมจะพาเราไขว้เขวว่า สิ่งที่เราคิดมันถูกต้องหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นละครเวทีชีวิตกลางป่า เรือพิพากษาที่ชี้วัดตัดสินชีวิตโบ คนคลั่งที่มาในรูปแบบหน่วยคอมมานโดสุดเถื่อน ไปจนถึงตัวประหลาดที่ดูก็รู้ว่าเป็นตัวอะไรที่ซ่อนอยู่ใต้หลังคา ก็สร้างความฉงนสงสัยจนสุดท้ายเราก็คิดได้ว่า เราควรปล่อยจอยกับการตีความสุดพิศวงนี้ดีกว่า
แม้หนังจะชวนปวดหัวและชวนเหวอ แต่อย่างน้อยที่สุด Beau Is Afraid (รวมไปถึงหนังของแอสเตอร์ในทุกเรื่อง) ก็ทำหน้าที่ได้สัมฤทธิ์ผลในฐานะหนังที่ขัดขืนและไม่โอนอ่อนผ่อนตามใจของผู้ชม แม้หนังจะใจร้ายและทำลายความรู้สึกไปจนถึงความทรมาน แต่ในอีกแง่ Beau Is Afraid ก็ทำหน้าที่ท้าทายคนดูได้อย่างเหลือเชื่อ ในโลกที่คนทำหนังหลายคนจำต้องทำหนังเพื่อเสิร์ฟความรู้สึกของคนดูโดยรวมอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน การมีใครสักคนที่เลือกที่จะไม่ทำตามใจคนดูแต่เลือกซื่อสัตย์กับตัวเอง ก็เป็นการบาลานซ์และสร้างสมดุลชีวิตได้เช่นกัน