คุยกับบอล-ยอด จาก ‘หนังพาไป’ ถึง ‘ไหนพาปัง’ ยิ่งหนังพาไปไกลมากเท่าไหร่ ยิ่งได้เห็นประเทศไทยชัดมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ท่ามกลางรายการท่องเที่ยวที่มักต้องมีภาพสวยงามตระการตา มาพร้อมพิธีกรที่ทำการบ้านมาอย่างดี พรีเซนต์มุมนั้นมุมนี้ของประเทศต่างๆ ได้อย่างช่ำชอง แต่กลับมีรายการหนึ่ง ปรากฏภาพสองหนุ่มหน้าตาธรรมดา แบกเป้สะพายบ่า แล้วพาผู้ชมตะลุยไปยังประเทศต่างๆ อย่างเป็นธรรมชาติ จนรายการขึ้นแท่นเป็นสารคดีท่องเที่ยวครองใจผู้คน
ในยุคนั้นหลายคนอาจฝันถึงการเดินทางไปเห็นหลากหลายประเทศทั่วโลก แต่น้อยคนนักที่จะทำให้มันเป็นจริงได้ ‘บอล-ทายาท เดชเสถียร’ และ ‘ยอด-พิศาล แสงจันทร์’ เป็นหนึ่งในคนที่ทำสำเร็จ พวกเขาใช้ความรักในภาพยนตร์ ผสานกับความทะเยอทะยานและความตั้งใจ พา ‘หนังพาไป’ ออกมาจนสำเร็จ
แม้จะผ่านมากว่าทศวรรษ ล่วงเลยไปถึง 5 ซีซั่น ‘หนังพาไป’ ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ในการเป็นสารคดีท่องเที่ยวที่ไม่ว่าใครได้ดู เป็นต้องได้คิดตาม กับการตั้งคำถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ ชวนให้เราฉุกคิดถึงชีวิต สังคม และความเป็นอยู่อย่างที่เราอาจไม่เคยได้คิดมาก่อน
วันหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ที่แม้ไม่ใช่บ้านเกิด แต่ก็เป็นเมืองนอนของทั้งบอลและยอด เรานัดพูดคุยกับสองหนุ่มนักเดินทาง ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน สถานที่อันเต็มไปด้วยความทรงจำของพวกเขา และเป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งนอกเหนือจากการชวนพวกเขาย้อนวันวานความประทับใจ และพูดคุยถึงบทบาทใหม่บนโลกออนไลน์ เรายังตั้งคำถามมากมายถึงการเดินทางสู่ประเทศห่างไกล ว่าค่อยๆ ทำให้พวกเขาเห็นประเทศไทยในมุมมองต่างๆ ได้ชัดขึ้นบ้างหรือไม่
ตั้งแต่เริ่มเดินทางจนถึงตอนนี้ มีประเทศไหนที่รู้สึกประทับใจเป็นพิเศษไหม
ยอด: ของเราเป็นไต้หวัน เราไปในสถานที่ท่องเที่ยวของไต้หวันแล้วรู้สึกว่าเฉยๆ ธรรมดา แต่ความพิเศษมันเกิดขึ้นหลังจากที่ลองไม่ใช้ชีวิตแบบนักท่องเที่ยว ไปใช้ชีวิตแบบคนอยู่อาศัยของไต้หวันจริงๆ อยู่ในไทเป เราลองไปวิ่ง ไปเดิน ไปใช้สวน ไปใช้สิ่งอำนวยความสะดวกของเขา แล้วรู้สึกว่าประเทศนี้พิเศษมาก หนึ่งคือขนส่งสาธารณะเขาราคาถูก ราคาถูกแบบที่เหมาะสมกับค่าครองชีพ สองคือมันสะดวกสบาย สามมันมีทางเลือกหลายทางมาก ทั้งรถไฟ รถเมล์ จักรยาน เราแค่ใช้สามอย่างนี้ก็รู้สึกว่าโอเคแล้ว กับชีวิตที่มันสะดวกสบายแล้วสามารถไปได้ทุกที่ รู้สึกว่าพื้นที่สาธารณะของเขาจัดวางแล้วก็ทำเพื่อคนในเมืองจริงๆ
เขาทำพื้นที่ริมน้ำซึ่งปกติจะเป็นพื้นที่ที่น้ำท่วม แต่รัฐบาลไต้หวันเขาจัดการกันพื้นที่บางส่วนให้เป็นพื้นที่สำหรับน้ำขึ้นน้ำลง หรือเวลาน้ำหลากมา กันไม่ให้ไปท่วมในเมือง แต่บางช่วงที่น้ำไม่ท่วม พื้นที่ตรงนั้นแทนที่จะปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า เขาก็เอามาทำพื้นที่ออกกำลังกาย ทำให้เป็นพื้นที่สำหรับหัดขับรถ ให้เป็นพื้นที่สำหรับคนร้องคาราโอเกะ ให้เป็นพื้นที่สำหรับการรวมตัวของผู้สูงวัยที่นั่น หรือแม้แต่เด็กๆ ไปทำกิจกรรม ไปเต้นกันได้
พอถอดตัวเองออกจากความเป็นนักท่องเที่ยว แล้วไปใช้ชีวิตแบบพลเมืองไต้หวันแล้วรู้สึกว่ามันดี มันเป็นเมืองที่รองรับความต้องการ ก็เลยถามไปถึงตัวเองว่าทำไมเราอยู่กรุงเทพฯ เรารู้สึกว่าเราไม่อยากออกไปที่ไหนเลย
บอล: แค่จากบ้านเราจะไปสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดก็เหนื่อยแล้ว ต้องเดินฝ่าทางเท้าที่มันไม่ได้ถูกทำให้คนเดิน
ยอด: บางเมืองเขาอาจจะทำเพื่อให้คนอยากออกมาใช้ชีวิตข้างนอก เขาก็ทำความสะดวกสบาย สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนอยากออกมาใช้พื้นที่สาธารณะได้ แต่กรุงเทพฯ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
นอกจากไต้หวันแล้วมีประเทศไหนอีกไหม
บอล: อีกที่หนึ่งที่ประทับใจมากที่สุดเลยก็คือประเทศเติร์กเมนิสถาน เพราะประเทศเติร์กเมนิสถานเป็นประเทศปิด ถ้าใครได้ดูในหนังพาไปจะพบว่าการขอวีซ่าเข้าประเทศยากมาก เป็นประเทศที่ไม่ได้ต้อนรับผู้คนให้เข้าไปเยือนมากนัก แต่เมืองหลวงเขาสวยมาก เป็นเมืองที่สร้างด้วยหินอ่อนเกือบทั้งเมืองเลย ทุกอย่างเป็นระเบียบ สะอาด
แต่ภายใต้ความสะอาดและความสวยจะเห็นได้ว่ามันเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาน้อยกว่าเมืองอื่นๆ ในโลกที่เราเคยไปเจอมา มันทำให้พอไปอยู่หลายๆ วันเข้าเราเริ่มพบว่าเมืองสวยๆ จริงๆ มันไม่ใช่เมืองที่ออกแบบมาให้คนได้ใช้ชีวิต แต่มันเป็นเหมือนสวนหลังบ้านของผู้นำประเทศ เหมือนมันเป็นเครื่องประดับในสายตาของเขา แล้วผู้คนก็จะไม่ค่อยได้เข้าไปใช้พื้นที่ส่วนกลางเมืองที่มันสวยๆ เท่าไหร่
พวกเรามีโอกาสได้พยายามหาว่าคนที่เป็นพลเมืองจริงๆ ไปอยู่ตรงไหน พอออกไปดูนอกเมือง ไปดูสภาพบ้านเมืองที่โทรมๆ ไปเจอผู้คนยากจน ปรากฏว่าในความยากจนและโทรม มันมีชีวิตชีวาของผู้คนอยู่ ดูเป็นเมืองที่คนอยู่จริงๆ ก็เลยทำให้เห็นเลยว่าประเทศนี้แปลกมากๆ เลย
พอไปเห็นก็พบว่าจริงๆ แล้วรูปแบบการเมืองของแต่ละประเทศมีผลต่อชีวิตคน มีผลกระทั่งอาชีพที่คุณจะเลือกเป็นได้หรือเป็นไม่ได้ มีผลต่อความคิดความฝันของเราด้วยซ้ำ ว่าเราฝันถึงอะไรได้บ้าง เราควรจะต้องทำอะไร พอไปเติร์กฯ ไปหลายๆ ที่ ทำให้เห็นเลยว่ารูปแบบการเมืองมันมีผลต่อชีวิตเราจริงๆ ดังนั้นถ้าเราอยากมีชีวิตที่ดี เราอาจจะต้องเรียกร้องการเมืองที่ดีกว่านี้เพื่อซัพพอร์ตความฝันของเรา
เรามักเห็น ‘หนังพาไป’ ตั้งคำถามถึงสังคมแบบนี้อยู่บ่อยๆ เมื่อไปต่างประเทศ ทำให้เราสะท้อนกลับมามองประเทศไทยอย่างไรบ้าง
ยอด: ความจริงแล้วน่าจะคล้ายกันกับทุกคน อดเปรียบเทียบไม่ได้ ถ้าเราเห็นสิ่งนี้ในบ้านเมืองนี้แล้วรู้สึกมันคล้ายกับบ้านเราเลย ทำไมระบบแบบนี้ดีกว่าบ้านเรา หรือแม้แต่แก้ไขอคติบางอย่าง ที่เราเคยอยู่เมืองไทยแล้วรู้สึกว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ดีที่สุดในโลก เป็นเมืองฟ้าอมร เรามีความภูมิใจในความเป็นกรุงเทพฯ เรามีความภูมิใจในความเป็นคนไทย แต่เอาเข้าจริงพอเดินทางมากขึ้นก็เริ่มเห็นว่ามันสั่นคลอน และมันถูกทุบทำลาย หลายๆ อย่างมันอาจจะดีในแง่หนึ่ง หรืออาจจะแย่ในแง่หนึ่ง และเลวร้ายมากที่สุดในแง่หนึ่งก็เป็นไปได้
บอล: พอไปเห็นแล้วมันก็ปะทะกับตัวเอง อย่างที่พี่ยอดบอก ตอนที่เราไปต่างประเทศครั้งแรก เราเชื่อว่าประเทศไทยเราในน้ำมีปลา ในนามีข้าว รู้สึกว่าเราโชคดีจังเลยได้เกิดมาเป็นคนไทย ภูมิอากาศ อาหารสมบูรณ์ ในแง่หนึ่งมันก็จริง แต่ในอีกแง่หนึ่งก็คือเราจะยังคงทำเกษตรกรรมแบบนี้กันไปจนตายเหรอ ในขณะที่รถไฟก็ยังไม่ตรงเวลา รถเมล์ก็ยังลูกผีลูกคน มันเลยมีความรู้สึกว่าเราควรจะเก็บข้อดีไว้ แต่เราก็ไม่ควรหลอนตัวเองว่าสิ่งที่เราเป็นมันดีอยู่แล้ว แล้วมันควรจะอยู่แบบนี้ตลอดไป
แค่การที่เรารู้ว่ารถเมล์จะมากี่โมง มันดีต่อคุณภาพชีวิตเรามหาศาล เราไม่ต้องไปเสียเวลานั่งรอในสิ่งที่เราไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ หรือไม่มาก็ไม่รู้ เราจัดการเวลาได้ เดี๋ยวนี้เรื่องของเวลามันสำคัญกับชีวิตมนุษย์ ทุกนาทีมีค่า เราแค่อยากอยู่กับครอบครัวเราอีก 5 นาที มันสำคัญนะ แต่ในขณะที่เมืองไทย เวลาคนไทยมันไม่มีค่าเลย
การที่รถเมล์ตรงเวลา ‘หนังพาไป’ เคยพาไปดูที่ญี่ปุ่น ตั้งแต่เมื่อสิบปีมาแล้ว จนถึงบัดนี้ แค่ ขสมก. ระบบรถเมล์ที่เชื่อว่ามีประสิทธิภาพที่สุดในประเทศเรา ก็ยังทำให้ตรงเวลาไม่ได้เลย เราคิดว่าเป็นโจทย์ที่มันสะท้อนให้เห็นว่า ชีวิตของประชาชนมันมีค่าแค่ไหน ในสายตาของผู้บริหารประเทศในทุกๆ ระดับ เพราะว่าเขาไม่ได้มาขึ้นรถเมล์กับเรา เขาไม่รู้ปัญหาหรอก ตราบใดที่รถเมล์ยังไม่ตรงเวลา ยังไม่สามารถบอกได้ว่าผู้บริหารประเทศนี้เขามองเห็นประชาชน
เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ในฐานะคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ
ยอด: น่าจะเปลี่ยนแปลงไปเยอะ ตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว เราเรียกร้องรถไฟฟ้า ตอนนั้นมีแต่รถเมล์ ซึ่งเราต้องทนทุกข์ทรมานกับรถติดบนถนน 10 ปีผ่านไป เราก็เห็นว่ามีรถไฟฟ้าผ่านหน้าบ้านใกล้ๆ อาจจะเดินไกลหน่อยแต่ฝันเป็นจริงมาก
ตอนนั้นเราคิดว่ารถไฟฟ้ามาแล้วมันจะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง เราได้เรียนรู้แล้วว่ามันไม่จริง ไม่จริงเลยเรื่องราคา มันไม่ตอบโจทย์กับคนทุกคน คนที่ยังมีรายได้น้อยอยู่เขาก็ยังต้องขึ้นรถเมล์ เพราะมันถูกกว่าเยอะ รถไฟฟ้ามันแพง
บอล: เราว่ากรุงเทพฯ มีทั้งมุมที่ดีขึ้น และมุมที่แย่ลง คนเลือกที่จะใช้รถส่วนตัวกันเยอะขึ้นมากเลยนะ ถ้าขยายขอบเขตออกไปจากกรุงเทพฯ ไปมองเมืองในต่างจังหวัด อย่างเชียงใหม่ อย่างสกลนคร ที่พวกเรามีโอกาสไป ปรากฏว่ารถที่เป็นโครงข่ายระดับสาธารณะของจังหวัดแย่ลง และคนเลือกที่จะซื้อรถยนต์มากขึ้น เราคิดว่าเป็นทิศทางที่น่าตกใจและควรจะต้องกลับมาทำอะไรสักอย่าง
แต่ส่วนที่ดีขึ้นก็คือ อย่างน้อยคนตื่นตัวมากขึ้น มีช่องทางสื่อสารกับคนที่ใส่ใจในนโยบายมากขึ้น เรามีสิทธิ์มีเสียงในการตั้งคำถามเยอะขึ้น เราปกป้องสิทธิ์และเรียนรู้เรื่องสิทธิ์กันเยอะขึ้น คิดว่ากรุงเทพฯ มันกำลังพัฒนามากขึ้น แต่รู้สึกว่าพัฒนาช้าจังเลย เสียดายเวลาที่ผ่านมา ประเทศอื่นเขาวิ่ง แต่เรายังเดิน เหมือนมิติเวลาของประเทศไทยกับเขามันอยู่คนละมัลติเวิร์ส เหมือนเราเวลาช้ากว่าเขา อยากให้ทุกอย่างมันไปได้เร็วกว่านี้
ถ้านี่คือช่องทางหนึ่งในการสื่อสารถึงผู้ว่าฯ อย่างคุณชัชชาติ
บอล: อยากให้กำลังใจ เรารู้สึกว่าคุณชัชชาติเข้ามาด้วยความตั้งใจดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าความตั้งใจดี เราจะวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ จะทำผิดพลาดไม่ได้ หรือกระทั่งถูกตำหนิในท้ายที่สุดไม่ได้ เราไม่ได้ยึดติดที่ตัวบุคคล เรายึดติดที่ระบบ
ยอด: คุณชัชชาติเข้ามายังไงก็ต้องโดน มีช่วงเวลาฮันนีมูน 100 วัน ซึ่งน่าจะผ่านไปแล้ว มันอาจจะถึงช่วงโค้งที่จะต้องโดนคำด่า คำวิจารณ์ การที่ฟังคำทักท้วงหรือคำด่า แล้วก็ถามตัวเองสำรวจตัวเองเรื่อยๆ มันเป็นเรื่องดีกับตัวเอง จงเชื่อในความฝันของท่าน
มีประเทศอื่นๆ ที่ยังอยากไปเรียนรู้ หรือตั้งคำถามอีกไหมในโลกนี้
ยอด: อเมริกากลางเป็นหนึ่งในทริปที่ค้างคาใจอยู่เพราะว่าเสียค่าเครื่องบินไปเยอะ เสียหายหลายแสน เจ็บใจมาก แต่ก็ด้วยเหตุจำเป็น (เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19) จริงๆ ตัดสินใจก่อนจะไปแค่อีก 5 วันจะบิน แล้วก็ตัดสินใจไม่บิน
บอล: ทริปอเมริกากลางมันมีเรื่องที่เราอยากไปเห็นเยอะมาก ในทริปจะมีช่วงหนึ่งที่เราตัดสินใจจะไปคิวบา เราคิดว่าคิวบายังเป็นประเทศปิด และเป็นประเทศลึกลับที่เราอยากรู้จักเขา เพราะว่าปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ แต่ทุกวันนี้ก็มีการเปิดประเทศเสรีมากขึ้น ทำให้เห็นว่าประเทศที่ถูกปิดมา แล้วอยู่ๆ ก็ถูกเปิดเป็นยังไง จากคนที่ถูกปลูกฝังให้เกลียดสหรัฐอเมริกา เป็นศัตรูกันมาก่อน แต่ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวสหรัฐอเมริกาไปเที่ยวเยอะมาก ผู้คนเขาสับสนไหม หรือเขาปรับตัวยังไง รวมทั้งแถวๆ เม็กซิโกก็จะมีอะไรที่คนไทยไม่ค่อยรู้เยอะ เช่นบ้านเมืองเขาปลอดภัยจริงไหม หรือว่าอันตรายแบบที่เราเห็น ก็ยังเป็นที่ที่เราอยากไปอยู่
เคยคิดถึงชีวิตที่ไม่มี ‘หนังพาไป’ บ้างไหม
ยอด: ถ้าไม่ได้ทำหนังพาไปแต่แรก คิดไม่ออกเลย เหมือนเคยถามตัวเองหลายครั้ง บางทีพอจบออกมา มันจะถึงทางเลือกของชีวิต ว่าเราจะไปในสิ่งที่เราชอบ หรือเราจะกลับมาทำแบบที่เราเรียนมา ทำได้อย่างมากก็ซื้อเวลาไปเรื่อยๆ ซื้อเวลาจนมันอาจจะหายไป ตอนนั้นรู้สึกว่าต้องทำหนังพาไปนี่แหละ แค่มันจะบูมหรือไม่บูม หรือมันจะมีโอกาสได้ออกทีวีไหม
บอล: จริงๆ หนังพาไปมันตอบโจทย์ความฝันของพวกเราครบถ้วนนะ การไปเที่ยวต่างประเทศเป็นความฝันที่ไกลมากสำหรับในยุคของพวกเรา ประกอบกับ ‘หนังพาไป’ เล่าเรื่องแบบหนัง หรือมันก็คือสื่อแบบหนึ่งที่ต้องใช้กลวิธีในการเล่าเรื่อง แล้วอีกอย่างก็คือเรารู้สึกว่าเราสนใจเรื่องรอบตัว เราอยากตั้งคำถาม เราอยากให้มันเกิดความเปลี่ยนแปลง ซึ่งหนังพาไปมันก็ทำหน้าที่ตรงนี้ได้ด้วย
ถ้าในยุคก่อนถามคำถามนี้ เราอาจจะตอบว่า ถ้าไม่ได้ทำหนังพาไปก็อาจจะต้องไปอยู่ในวงการทำหนัง
แต่พอมายุคที่มีอินเทอร์เน็ตเกิดขึ้น มียูทูบ เราเชื่อว่าถ้าวันนั้นไม่ได้ทำหนังพาไป วันนี้เราก็จะต้องทำยูทูบในแบบนี้แน่นอน
ในเมื่อ ‘หนังพาไป’ ตอบโจทย์ทุกข้อของความฝัน แสดงว่ายังมีแพลนสำหรับซีซั่นต่อๆ ไปใช่ไหม
ยอด: แพลนซีซั่น 6 ยังคิดๆ อยู่ แต่ยังไม่ได้ถึงขนาดต้องขับเคลื่อน เพราะยังรู้สึกสนุกกับเรื่องออนไลน์อยู่ เหมือนเป็นโลกใบใหม่ที่ได้เรียนรู้ เหมือนคนแก่มาเริ่มเรียนรู้ เคยคิดว่าออนไลน์มันเล่าได้ทุกเรื่อง เราไม่จำเป็นต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเซ็นเซอร์อะไรเลย แต่เอาเข้าจริง โลกออนไลน์ก็มีระบบเซ็นเซอร์ของตัวเองนะ ยูทูบก็มีระบบที่บอกว่าอายุ 18+ ถึงจะดูคลิปนี้ได้ แต่ก็ยังรู้สึกสนุกกับการเรียนรู้โลกออนไลน์อยู่ และก็กำลังหาแรงบันดาลใจในการทำซีซั่น 6 ไปด้วย
การเรียนรู้โลกออนไลน์คือหนึ่งในจุดเริ่มต้นของรายการใหม่อย่าง ‘ไหนพาปัง’ ทางช่องยูทูบหรือเปล่า
บอล: ต้องยอมรับว่าโทรทัศน์เมืองไทยมีกฎเกณฑ์เยอะ แล้วก็มีศีลธรรมอันดีบางอย่าง ซึ่งไม่ใช่แค่เฉพาะไทยพีบีเอส โทรทัศน์ทุกช่องจะมีมาตรฐานบางอย่างของเขาอยู่ แต่ว่าโลกออนไลน์มันขยับออกไปได้เยอะมากแล้ว เราสามารถพูดเรื่องที่โทรทัศน์พูดไม่ได้ ดังนั้นมันก็จะมีคอนเทนต์บางอย่างของหนังพาไปที่ออกอากาศทางไทยพีบีเอสไม่ได้ หรือถ้าออกอากาศได้ก็จะต้องถูกตัด ถูกเบลอ หรือต้องถกเถียงกับทางช่องเยอะมากจนอาจจะไม่เหลือเนื้อหาที่เราอยากจะเล่าทั้งหมด
พอหนังพาไปจบซีซั่นแล้วรู้สึกเสียดายคอนเทนต์ เพราะบางอย่างถึงแม้มันจะเคลือบเอาไว้ด้วยความหวือหวา ความทะลึ่งลามก แต่จริงๆ เนื้อในมันมีอะไรให้คุยเยอะมาก เลยคิดว่าถ้าเราเปิดช่องยูทูบ น่าจะเอาคอนเทนต์พวกนี้มาให้คนดูตั้งคำถามได้เหมือนกัน นอกจากคอนเทนต์ที่ออกทีวีได้ อาจจะมีบางอย่างที่ไม่สามารถเล่าจนเต็มตอนของหนังพาไปได้ เลยคิดว่าอาจจะเป็นช่องทางใหม่ ที่จะได้พูดคุยกับผู้ชม
ทำไมเลือกเล่าถึง Adult Expo (เทศกาลหนังโป๊) เป็นตอนแรก
บอล: เพราะมันคันเนอะ
ยอด: ใช่ เพราะว่าตอนนี้ความจริงคอนเซ็ปต์มันคือเราไปตามหาสถานที่พิเศษของคนคนหนึ่ง อาจจะไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว อาจจะไม่ใช่สถานที่ที่คนชอบไป หรือเป็นที่ตระการตา แต่มันเป็นความพิเศษของคนคนนั้น แล้วพอดีน้องคนหนึ่งที่อยู่ในไทเป เขาบอกว่าสิ่งที่อินแล้วทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง มันคืองาน Adult Expo (เทศกาลหนังโป๊) นี่แหละ เราก็เลยสงสัยว่ามันมีอะไร ความจริงมันก็สุ่มเสี่ยงว่าจะออกทีวีไม่ได้ แต่ตอนนั้นเราก็คิดว่าทำไปก่อน ลองไปดู แล้วพอเขาพาไปเราก็ได้รู้ว่ามันเป็นโลกแห่งความสุขของคนบางกลุ่ม แล้วมันก็มีความลึกซึ้งอยู่ในความที่เรามองมันแค่ฉาบฉวย มันก็เลยลึกซึ้งจนทำให้เราคิดไปถึงขนาดเรื่อง ‘สิทธิ์’ ขนาดนั้นเลย เราไปเห็นความเป็นสังคมอีกแบบหนึ่ง สังคมที่ผู้คนไปปลดปล่อยจริง แต่ก็มีกฎเกณฑ์ มันไม่ได้ถูกมองภาพว่าพอเป็นเทศกาลหนังโป๊แล้วจะต้องมีใครอล่างฉ่าง หรือสามารถไปปลดปล่อยบางสิ่งบางอย่างที่มันเกินอารยธรรมมนุษย์ควรจะเป็นได้
หลังจากนี้มีแพลนอะไรสำหรับคนที่อยากติดตามบอล-ยอดไหม
ยอด: ขอให้คนที่ติดตามอดทน ส่งกำลังใจมาให้เราขยันหน่อยเถอะ (หัวเราะ)
บอล: ส่งความขยันมาให้หน่อย ทุกวันนี้ที่ยังไม่ได้มีแพลนผลงานชัดเจนเพราะเราก็ยังรู้สึกว่า เราอยากใช้ชีวิตไปด้วย อย่างตอนทำหนังพาไป มันเป็นช่วงเคี่ยวกรำตัวเอง เพราะว่ารายการมันมีแค่สองคน แล้วมันก็จะมีความรู้สึกว่าเราเหนื่อยมาก พอจบซีซั่นก็มีความรู้สึกอยากนอนให้พอ อยากใช้ชีวิตให้พออย่างนี้
พอเริ่มเข้ามาในโลกออนไลน์ เราก็ยังรู้สึกว่าเราต้องหาสมดุลก่อน เพราะโลกออนไลน์เรียกร้องให้ต้องทำอย่างต่อเนื่อง มีคอนเทนต์ที่หวือหวาตลอดเวลา ซึ่งรู้สึกว่า แล้วเราจะเอาเวลาที่ไหนไปใช้ชีวิตล่ะ ตอนนี้สำหรับแฟนๆ ก็อาจจะต้องรอนิดหนึ่ง เพราะเรากำลังหาจุดที่เหมาะสมของตัวเองอยู่ สามารถติดตามได้ในช่องยูทูบ ‘ไหนพาปัง’ จะมาเรื่อยๆ แต่อาจจะนานหน่อย