คุยกับ ‘คริส-กวิน สุดาจิตร’ เจ้าของร้าน Back In Time Cafe ที่จะพาท่องกาลเวลาไปสัมผัสกับเสน่ห์ของยุค 80s
คืนวันเก่าๆ ในห้วงอดีตนั้นเปี่ยมด้วยเสน่ห์และเป็นเอกลักษณ์อยู่เสมอ แม้วันที่โลกหมุนไปข้างหน้ารวดเร็ว แต่ความทรงจำและกลิ่นอายเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ ทุกกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงยังคงพัดพาคืนวันแห่งอดีตไปด้วยเสมอ แม้จะเจือจางแต่ก็ยังรับรู้ได้ และยังคงอ้าแขนต้อนรับเหล่า ‘นักท่องกาลเวลา’ ให้กลับมาสัมผัสกับเสน่ห์ ณ ช่วงเวลานั้นที่กำลังเปล่งประกายออกมาจากห้วงความทรงจำและกระแสเวลาที่หมุนย้อนคืนมาอย่างไม่รู้จบ
‘นักท่องกาลเวลา’ อาจเป็นคำที่ดูเหนือจินตนาการราวกับหลุดมาจากหนังไซไฟ แต่การได้สัมผัสกับเพลงเก่าๆ ของเก่าๆ มองแฟชั่นยอดฮิตในอดีต ดูภาพถ่ายที่หยุดเวลาจากยุคหนึ่งเอาไว้
ในบางครั้งก็เหมือนกับได้นั่งไทม์แมชีนกลับไปสู่ยุคนั้น แม้ว่าเราจะไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ในยุคนั้นก็ตาม บางครั้งเราก็อาจหลงใหลและตกหลุมรักสิ่งเหล่านี้จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
BrandThink จะพาทุกคนไปรู้จักกับ ‘คริส-กวิน สุดาจิตร’ นักท่องกาลเวลาผู้หลงใหลในความเป็นอเมริกันในยุค 80s และถ่ายทอดความหลงใหลเหล่านี้สู่การเปิดกิจการร้าน ‘Back In Time Cafe’
– 1 –
จากความสนใจ กลายเป็นความชอบ จนไปถึงหลงใหลในยุค 80s
เนื่องจากเดิมทีที่บ้านมักชอบดูหนังและฟังเพลงสากลอเมริกันอยู่เป็นทุนเดิม จึงทำให้เขาซึมซับความชอบในส่วนนี้มาตั้งแต่เด็ก เพียงแต่ช่วงก่อนหน้านั้นเขาเริ่มจากเพลงยุค 2000s ตามยุคสมัยที่ตัวเองเกิดมาก่อน แล้วจึงขยับมายุค 80s อย่างจริงจัง ในช่วงมัธยมปลาย จนถึงช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ยิ่งหลงใหลในดนตรี หนังเก่าๆ ไปจนถึงรถยนต์ในยุคนั้นมากขึ้น
“ส่วนมากในหนังหลายๆ เรื่องของอเมริกาจะใช้เป็นรถเยอรมันกับอิตาลีเป็นหลัก ไม่ว่าจะตัวละครพระเอก หรือตัวร้ายก็ตาม จะเห็นได้ว่าพวกเขามักขับรถสปอร์ตที่มาจากทางยุโรป ซึ่งผมเองดูหนังแนวนี้ เห็นมาตลอดจนชอบ”
คริสจึงมีของสะสมเป็นโมเดลรถยนต์มากมายโดยเฉพาะโมเดลรถยนต์ที่อยู่ในยุค 80s คริสเล่าต่อถึงบ้านเมืองในยุคนั้นที่สะท้อนออกมาผ่านภาพยนตร์สัญชาติอเมริกัน ซึ่งกลายเป็นภาพจำที่เป็นเอกลักษณ์แห่งยุค 80s
“ไมอามีน่าจะเป็นเมืองเดียว ณ ตอนนั้นที่ผมมองว่าบ้านเมืองมีดีไซน์ต่างๆ ที่ดูล้ำยุคมาก อย่างบ้านทรงเหลี่ยมๆ เหมือนกล่อง แต่ว่าในยุคนั้นไม่ใช่ของที่นิยมเลย แล้วไมอามีบ่งบอกความเป็น 80s ได้มากที่สุด เพราะหนังหลายๆ เรื่องที่ถ่ายทำในนั้น เช่น Scarface (1983), Miami Vice (2006) เขาก็จะใช้ฉากหลังเป็นเมืองไมอามี ซึ่งในยุคนั้นก็เหมือนว่ามันดูหรูหรามาก”
แต่เสน่ห์ที่ทำให้คริสหลงใหล จนก้าวเข้าสู่โลกความเป็นอเมริกันยุค 80s มากขึ้นคือ ดนตรีร็อก และ เมทัล
“ดนตรีร็อก 80s มันมีเอกลักษณ์ของมันที่ฟังแล้วแตกต่าง เป็นยุคหนึ่งที่ผมมองว่าดนตรีร็อกดังมากถึงขั้นพวกวิทยุที่เปิดในยุคนั้น เขาก็เปิดดนตรีร็อกเป็นส่วนใหญ่กันนะ” คริส เล่าเสริม
– 2 –
อิทธิพลความเป็น 80s ที่มีต่อชายหนุ่มในยุคดิจิทัล
คริสเล่าต่อว่าเขาชอบความเป็น 80s ของญี่ปุ่นรองลงมา สำหรับดนตรีแน่นอนว่าต้องเป็นแนว City Pop ที่กลับมาเป็นที่พูดถึงกันในช่วงหลายปีมานี้ แต่รถยนต์ก็ยังเป็นสิ่งหนึ่งในใจที่ขาดไม่ได้
“ในยุค 80s เป็นยุคที่พวกของใช้ต่างๆ จากญี่ปุ่นถูกส่งไปอเมริกาเยอะมาก ยกตัวอย่างเลยคือรถยนต์ ที่มีราคาถูกกว่า ใช้งานก็ดีกว่า ประหยัดน้ำมันกว่า”
และรถญี่ปุ่นในยุคนั้นบางรุ่นก็ยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันนี้
“ผมรู้สึกว่าความที่ผมบ้ายุค 80s มันส่งผลให้กับผมเยอะมาก ทุกวันนี้การเปิดเพลงฟังก็อาจจะเปิด Spotify ฟังใช่ไหม แต่ผมหาวิทยุ แล้วก็หูฟังยุคนั้นมาใส่เทปเหน็บเอว คืออยากสัมผัสฟีลลิงของคนยุคนั้น เหมือนกับว่าสัมผัสบางสิ่งบางอย่างที่คนยุคนั้นเขาใช้กันแล้วเราเอามาลองใช้ดูบ้าง แต่ที่ตลกคือแฟชั่นยุค 80s หลายอย่างถูกจัดอันดับว่าแย่มากเลยนะ”
คริสพูดด้วยอารมณ์ขัน ถึงแฟชั่นที่แหวกแนว ฉีกไปจากยุคสมัยก่อนซึ่งอาจจะดูหลุดโลก ซึ่งเมื่อมีคนจัดอันดับแฟชั่นในยุคต่างๆ ออกมา แฟชั่นจากยุค 80s ก็ตกไปอยู่ในอันดับล่างๆ
คริสได้ยกตัวอย่างการแต่งกายที่ดูแปลกตาสำหรับยุคนี้แต่เป็นที่นิยมในยุคนั้น อย่างการแต่งตัวของสาวๆ เมื่อไปออกกำลังกายด้วยชุดยิมนาสติกที่สวมกางเกงเลกกิ้งไว้ด้านใน
ซึ่งล้วนมีสีสันฉูดฉาด เพื่อไปเล่นโรลเลอร์สเก็ตริมหาด หรือแฟชั่นของผู้ชายที่สวมกางเกงขาสั้นมากๆ แต่สวมถุงน่องสีขาวสูงขึ้นมาเหนือเข่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ดูสวยงามสำหรับคนในยุค 80s
“แล้วก็คนที่เดินข้างถนน ถือ Boombox แบกไว้ที่บ่าแล้วเปิดเพลงฟัง นี่คือสิ่งหนึ่งที่ไลฟ์สไตล์คนยุคนั้นทำกัน”
นอกจากนี้ คริสก็ยังได้พูดถึงของบางอย่าง ที่ปัจจุบันไม่มีความจำเป็นแล้วแต่เคยใช้กันในยุค 80s เช่น โทรศัพท์ที่มีให้ใช้ในรถยนต์ ซึ่งเป็นโทรศัพท์ที่มีทั้งสายเชื่อมกับตัวรถและปุ่มกด
– 3 –
ความเป็น 80s ที่ฮีลใจในวันที่รู้สึกแย่
เขาเล่าต่อว่าความหลงใหลในยุค 80s เป็นเสมือนพื้นที่ปลอดภัยในวันแย่ๆ รู้สึกเบื่อหน่าย แต่เมื่อไรที่ได้ฟังเพลงจากยุค 80s คริสจะรู้สึกสงบใจลง แม้ว่าจะเป็นเพลงที่ฟังดูแล้วเก่า แต่สิ่งเหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่โดนใจ
“ยุค 80s นี่ต้องมีเสียงคีย์บอร์ดเป็นซินธ์ (synth) ที่กดมารู้เลยว่าแนวนั้นแน่นอน ซึ่งยุคปัจจุบันใช้กันน้อยมากแทบไม่มีแล้ว” คริสพูดไปก็แสดงสีหน้าว่ากำลังรำลึกถึงเสียงดนตรีที่อาจอยู่ในหัวของเขา ซึ่งเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของเพลงยุคนั้น
– 4 –
นำความหลงใหลมาเป็นส่วนหนึ่งของอาชีพ
เดิมทีคริสเคยทำธุรกิจอาหารของครอบครัวและทำงานร้านอาหารหลายๆ แห่ง ทำให้เขาสั่งสมประสบการณ์ด้านธุรกิจอาหารมาพอสมควร
จนมาถึงวันที่ตัดสินใจด้วยความบ้าบิ่น พร้อมกับเป้าหมายเล็กๆ ในใจว่าอยากมีบาร์เป็นของตัวเอง เอาไว้ดื่มสังสรรค์กับเพื่อนๆ และลูกค้าคอเดียวกัน
“ต้องบอกว่าที่เปิดนี่ก็สุ่มเสี่ยงอยู่นะ เพราะเหมือนกับคนบ้าคนหนึ่งที่ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังอะไรแล้วก็เปิดร้านดื้อๆ เลย”
แต่ถึงอย่างนั้นความบ้าบิ่นที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงนี้ก็คุ้มที่จะลงมือทำ ซึ่งทำให้เขารู้สึกมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำจริงๆ เพราะเขาได้นำเอาความหลงใหลในยุค 80s มาเป็นธีมของร้าน แม้ว่าตอนนี้กระแส Y2K ในช่วงปี 90s-2000s จะมาแรงก็ตาม
“ด้วยความที่ผมชอบความเป็น 80s แต่แรก การเปิดคาเฟ่นี้จึงไม่ได้สวนกระแสหรืออะไร เพราะนำความชอบของตัวเองพุ่งออกมาล้วนๆ เลย”
– 5 –
ร้าน Back In Time Cafe
คริสได้ย้อนความถึงวันที่เขาพยายามนึกชื่อที่จะนำมาตั้งเป็นชื่อร้าน แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก จนกระทั่งเพลง ‘Back In Time’ ของ Huey Lewis & The News เพลงประกอบหนังเรื่อง ‘Back to the Future’ ได้ดังขึ้น จนทำให้เขาเกิดไอเดีย
“เพราะชื่อเพลงมันให้อารมณ์เหมือนกับย้อนเวลากลับไปจริงๆ เลยเอาชื่อนี้มาตั้งชื่อร้านเลย”
ดังนัน ชื่อ ‘Back In Time’ ที่มาจากหนังดังไตรภาคของปลายยุค 90s ที่เล่าย้อนอดีตไปยังยุค 80s ในภาคที่ 2 จึงกลายมาเป็นชื่อร้านของชายหนุ่มในยุค 2000s
อย่างไรก็ตาม การจัดการสิ่งต่างๆ เพื่อดึงสถานที่แห่งความฝันที่วาดไว้ให้ออกมาเป็นจริงนั้น ก็ย่อมมีอุปสรรคเป็นธรรมดา ทั้งการจัดการเรื่องมากมายสำหรับเจ้าของกิจการมือใหม่ ที่แม้เคยมีประสบการณ์การทำงานมาก่อน อาจไม่ได้เป็นสิ่งที่ยากมากนัก
แต่เมื่อมาเป็นเจ้าของด้วยตัวเองมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าเมื่อก้าวผ่านเรื่องราวที่ลำบากออกมาได้ ก็พบกับผลลัพธ์ที่เขาตามหา
“ชีวิตมีความสุขขึ้นเยอะเลย อาจจะลำบากในช่วงแรก แต่ผมก็รู้สึกว่ามันมีความสุขจริงๆ ดีกว่าไปทำงานที่ตัวเองไม่ชอบ แต่ต้องชอบจริงๆ นะ เราอยู่กับมันได้จริงๆ เราต้องคิดก่อนว่า เราอยู่กับมันได้เป็นปีจริงๆ หรือเปล่า”
– 6 –
อย่าเอาความชอบตัวเองมาเป็นงาน
เพราะเราอาจจะไม่ชอบสิ่งนั้นแล้ว… ไม่จริงเสมอไป
“นั่นแปลว่าคุณชอบสิ่งนั้นแค่ผิวเผิน ไม่ได้ชอบสิ่งนั้นแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะถ้าจะเอาสิ่งนั้นมาเป็นงาน มันคือสิ่งที่จะอยู่กับเราไปทั้งชีวิต ถ้าเกิดเราแค่ชอบผิวเผิน ถ้าเราอยู่กับสิ่งนั้นซ้ำเรื่อยๆ เราจะเบื่อ พอเราเบื่อเราก็จะต้องตัดสินใจว่าเราจะทำอย่างไรกับมัน”
ดังนั้นการตัดสินใจของเขาที่ได้ลงมือนำความชอบมาเป็นงานไม่ใช่อุปสรรค หากเรารักมันจริงๆ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะฝ่าฟันเพื่อความชอบ ความหลงใหลนั้นให้ได้อยู่ดี
– 7 –
ข้อความส่งท้ายจาก Back In Time Cafe
Back In Time Cafe เป็นคาเฟ่เล็กๆ ที่เปิดในเวลา 17.00 นาฬิกา ไปจนถึงตี 2 ซึ่งคริสต้องการให้เป็นเวลาที่ผู้คนที่แวะเวียนเข้ามาได้ผ่อนคลายจากการเรียนหรือการทำงาน และสามารถแวะเวียนมาพูดคุยกับเขาได้
“เพราะที่แห่งนี้เปรียบเสมือนพื้นที่แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและเปิดกว้างที่จะรับวัฒนธรรมและความชอบใหม่ๆ อยู่เสมอ”
แม้ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไป แต่ความทรงจำที่ฝังอยู่ในห้วงกาลเวลานั้นไม่เคยหายไป ยังคงโอบกอดเหล่านักท่องกาลเวลา และปลอบประโลมใจ ไม่แน่ว่าการได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ในห้วงเวลานั้น อาจจะนำพาเราไปพบเป้าหมายในใจที่เรายังไม่เคยค้นเจอ