รู้ไหมออสเตรเลียคือประเทศที่ ‘บุหรี่แพงที่สุดในโลก’ ซองหนึ่งราคาเกือบ 1,000 บาท แต่มันได้ผลจริงในการทำให้คนเลิกสูบ
ในโลกยุคปัจจุบัน ของต่างๆ ราคาแพงขึ้นมากๆ แน่นอนส่วนหนึ่งเกิดจาก ‘ภาวะเงินเฟ้อ’ ที่เป็นเรื่องปกติของระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ แต่อีกส่วนก็มาจากนโยบายรัฐ และตัวอย่างกรณีนี้ที่ชัดสุดคือ ‘ราคาบุหรี่’
บุหรี่คือ ‘สินค้าเกษตรแปรรูป’ ที่โดยทั่วไปแล้วถ้าเป็นไปตามกลไกตลาด ราคามันควรจะถูกลงด้วยซ้ำเมื่อระบบเศรษฐกิจซับซ้อนขึ้น แต่ในความเป็นจริง นับแต่ทศวรรษ 1990 บุหรี่เป็นสินค้าที่แพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าไปจิ้มที่บุหรี่ยี่ห้อไหนก็ตามในไทยเอง เมื่อสัก 20-30 ปีก่อนนั้น เราก็จะพบว่าราคามันขึ้นไป 3 เท่าตัวกันเป็นเรื่องปกติ และยุคสมัยที่บุหรี่ราคา 20-30 บาทต่อซอง ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ฟังดูโบราณระดับที่เราฟังคนมีอายุหน่อยเล่าถึงยุคที่ก๋วยเตี๋ยวชามละ 5 บาทอะไรแบบนั้น
การขึ้นราคาของบุหรี่ในไทยไม่ได้เป็นไปตามกลไกตลาด แต่เป็นไปตามมาตรการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ที่เป็นมาตรการระดับโลก ซึ่งเทคนิคมาตรฐานของรัฐบาลทั่วโลกคือการเพิ่มภาษีสรรพสามิตสำหรับบุหรี่อย่างหนัก และนี่เลยทำให้ราคาบุหรี่ทั่วโลกนั้นไม่ได้สะท้อนราคาวัตถุดิบ ต้นทุนด้านอุตสาหกรรม ราคาขนส่ง หรืออะไรพวกนี้ไปมากกว่าความโหดของภาษีที่แต่ละรัฐบาลเก็บเพื่อหวังให้คนไม่สูบบุหรี่
ซึ่งชงมาแบบนี้ ก็แน่นอน เรากำลังจะพูดถึงประเทศที่ ‘บุหรี่แพงที่สุดในโลก’ อย่างออสเตรเลีย
ออสเตรเลียเป็นชาติที่เศรษฐกิจพัฒนาไปไกล ค่าครองชีพก็ถือว่าสูงอยู่ แต่สิ่งที่สูงเลยค่าครองชีพทั่วๆ ไปคือราคาบุหรี่ ที่แน่นอนว่าราคาแตกต่างกันไปตามยี่ห้อ แต่พวก ‘ยี่ห้อมาตรฐาน’ ที่ขายกันทั่วโลก เมื่อไปขายที่ออสเตรเลียอาจมีราคาสูงถึง 900-1,000 บาท และถ้าคิดเป็นตัวๆ บุหรี่ที่โน่นจะราคาตัวละ 40-50 บาท เลยทีเดียว ถือว่าแพงมาก และแพงแบบที่คนได้ค่าแรงสูงๆ อย่างออสเตรเลียยังบ่นว่าแพง (ถ้าแปลงเป็นค่าเงินออสเตรเลียคือประมาณ 40 ดอลลาร์ออสเตรเลีย ต่อบุหรี่ 1 ซองที่มี 25 ตัว)
และที่เขาทำแบบนี้ เป้าหมายก็เพื่อจะให้คนเลิกสูบบุหรี่ โดยวางไว้ว่าต้องการให้มีนักสูบรายวันลดลงต่ำกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรในปี 2023 และต่ำกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรภายในปี 2025
และที่ผ่านมาใช่ว่าออสเตรเลียจะทำไม่สำเร็จ เพราะการขึ้นภาษีบุหรี่อย่างต่อเนื่องทำให้คนที่สูบบุหรี่ทุกวันมีจำนวนลดลงจาก 24 เปอร์เซ็นต์ ในปี 1991 เหลือเพียง 11 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2019 โดยถ้าไปดูภาษีย้อนหลัง จะเห็นว่าเขาเริ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดมาที่ 25 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงปี 2010 และขึ้นต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันภาษีเพิ่มมากกว่า 5 เท่าตัวแล้ว
ทั้งหมดนี้เรียกได้ว่าเป็น ‘เรื่องราวความสำเร็จ’ ของนโยบายรัฐ แต่นั่นก็ไม่ได้ปราศจากคำวิจารณ์เสียทีเดียว เพราะนักวิชาการต่างเห็นตรงกันว่า การใช้มาตรการเช่นนี้คนที่ได้รับผลกระทบหนักคือ ‘ครัวเรือนยากจน’ หรือพูดง่ายๆ มันคือนโยบายที่จะบีบให้คนจนเลิกบุหรี่โดยการขึ้นราคาบุหรี่ แต่การกระทำแบบนี้ไม่สามารถตอบคำถามได้ว่าทำไมคนจนถึง ‘ติดบุหรี่’ แต่แรก เพราะจริงๆ แล้วคนจนทั่วโลกต่างก็มีการ ‘เสพติด’ บางอย่างกันเป็นปกติ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า บางทีพวกเขาก็ต้องการ ‘หนีจากความยากลำบากของชีวิต’ และวิธีการหนีที่ราคาถูกและได้ผลสุดก็คือการใช้สารเสพติด
และถ้ามองในกรอบนี้ การลงไปทำให้ปัญหาของคนจนลดลงโดยตรง มันก็ควรจะเป็นนโยบายสังคมที่น่าใช้กว่าการไป ‘ริบ’ อุปกรณ์ในการหนีจากความทุกข์ระทมในชีวิตของคนจนผ่านการขึ้นราคาบุหรี่
อ้างอิง
- The Guardian. Australia’s tobacco tax is among the highest in the world – and it’s about to get higher. https://shorturl.at/xHI79
- Statista. Where Smoking Breaks the Bank (& Where It Doesn’t). https://shorturl.at/ezCV1