เส้นทางของ AstraZeneca: อดีตวัคซีน ‘ม้าเต็ง’ ที่ทุกวันนี้ขนาดแอฟริกายังเมิน
ณ กลางปี 2022 จุดที่โลกกำลังเริ่มเป็นปกติ หลายๆ ชาติปลดล็อกนโยบายโควิดต่างๆ จนสิ้น และในเมืองไทยเอง หลังจากไม่ต้องมีการตรวจ RT-PCR คนเข้าออกประเทศแล้ว การถอดหน้ากากก็อาจเป็นสัญญาณการจบสิ้นลงของมาตรการเข้มงวดในการป้องกัน ‘โควิด-19’
อย่างไรก็ดี เนื่องในโอกาสที่โควิดใกล้จะจบ เราอยากจะย้อนพูดถึงสิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรหลงลืมก็คือ ปัญหาการจัดการวัคซีนของรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งแกนกลางของปัญหาก็คือการ ‘แทงม้าเต็ง’ ให้คนไทยฉีดวัคซีนแอสตราเซนากา (AstraZeneca) ของท่านรัฐมนตรีสาธารณสุข ที่สุดท้ายคนไทยก็แทบไม่ได้ฉีดวัคซีนตัวนี้ที่ผลิตในไทยเลย
แล้ววัคซีนชนิดนี้หายไปไหน? เราจะมาเล่าให้ฟังกัน
เพื่อย้ำว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง วัคซีนแอสตราเซเนกาเป็นวัคซีนโควิดตัวแรกๆ ที่ทดสอบแล้วได้ผลน่าพอใจ ซึ่งในตอนแรกสุด โลกตะวันตกมันมีวัคซีนพัฒนามาสำเร็จพร้อมๆ กัน 3 ตัวในปี 2020 คือ ไฟเซอร์, โมเดอร์นา และแอสตราเซเนกา
สถานะของแอสตราเซเนกาตอนนั้นมีภาษีดีมาก เพราะใช้เทคโนโลยีเก่าที่ ‘ปลอดภัย’ แบบเทคโนโลยีไวรัลเวคเตอร์ (คือใช้ไวรัสตัวอื่นเป็นพาหะนำพาพันธุกรรมของโควิดเข้าไปในร่างกายมนุษย์เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน) ซึ่งมันเก็บได้ง่าย เก็บในตู้เย็นทั่วๆ ไปได้เป็นเวลานาน และที่สำคัญที่สุดมันมีราคาถูก
นี่คือ ‘ข้อได้เปรียบ’ ของแอสตราเซเนกา ที่เหนือกว่าวัคซีน mRNA อย่างไฟเซอร์และโมเดอร์นา ที่ผลิตยากกว่า จัดเก็บยากกว่า และราคาแพงกว่า และทำให้แอสตราเซเนกาเป็น ‘ม้าเต็ง’ ของรัฐมนตรีสาธารณสุข ที่วางยุทธศาสตร์ให้เมืองไทยเป็นศูนย์กลางผลิตวัคซีนตัวนี้
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ ‘สร้างปัญหา’ ให้กับวัคซีนตัวนี้ตั้งแต่แรกๆ คือ ‘การเมือง’
ในโลกตะวันตก วัคซีนแอสตราเซเนกาคือ ‘วัคซีนอังกฤษ’ ดังนั้นอเมริกาจึงไม่ยอมใช้วัคซีนตัวนี้ (และ ณ ตอนนี้ จนโควิดจะจบแล้ว หน่วยงานด้านสาธารณสุขของอเมริกายังไม่ยอมรับวัคซีนตัวนี้เลย) และแน่นอนมหาอำนาจอื่นๆ อย่างจีนกับรัสเซียก็ไม่ใช้
หรือพูดง่ายๆ ‘ด้วยศักดิ์ศรี’ ทุกประเทศมหาอำนาจจงใจจะใช้วัคซีนของตัวเองเพื่อผ่านพ้นวิกฤตโควิด และนี่ทำให้แอสตราเซนากา ‘ขายไม่ออก’ ในประเทศพวกนี้
อย่างไรก็ดี ด้วยความต้องการวัคซีนเป็นอย่างยิ่งในตอนแรก ชาติยุโรปต่างๆ ที่ไม่ได้ผลิตวัคซีนเอง ก็สั่งแอสตราเซเนกาจากอังกฤษเยอะมากๆ เพราะทุกชาติคิดว่าสั่งไฟเซอร์ไปก็ไม่ได้หรอก เพราะประเทศใหญ่โตอย่างอเมริกาน่าจะเร่งผลิตและฉีดให้ชาติตัวเองไปก่อนสักพักเลย
แต่หารู้ไม่ว่า อังกฤษก็คิดอย่างนี้ ช่วงแรกสุดที่แอสตราเซเนกาผลิตได้แค่ในอังกฤษ อังกฤษก็ผลิตมาฉีดให้ประชาชนตัวเอง และ ‘ผิดนัด’ ส่งวัคซีนตามออเดอร์ของหลายต่อหลายประเทศจนทำให้เซ็งไปตามๆ กัน เพราะนั่นทำให้การจัดคิวฉีดวัคซีนรวนไปหมด และทำให้ชาติต่างๆ เริ่มฉีดพวกไฟเซอร์เท่าที่มีไปก่อน เพราะไฟเซอร์นั้นถึงจะมีไม่เยอะในช่วงแรก แต่ก็ส่งวัคซีนมาตามกำหนด
กว่าอังกฤษจะฉีดให้ประชากรจนอิ่มตัวและพร้อมส่งวัคซีนให้ชาติอื่นก็ล่วงเลยไปกลางปี 2021 ซึ่งถ้าจำได้ ตอนนั้นโควิดกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์เดลตาพอดี และหลายๆ คนก็คงจะรู้ว่ามันทำให้ประสิทธิภาพวัคซีนในการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์นี้ต่ำลงทั้งหมด และทำให้วัคซีนแอสตราเซเนกาที่เคยมีประสิทธิภาพสูงลดประสิทธิภาพลงเหลือแค่ปานกลาง
นี่เป็นจุดหักเหสำคัญที่ทำให้ชาติที่พอจะ ‘มีเงิน’ และ ‘มีทางเลือก’ ทุกชาติทำการ ‘เท’ วัคซีนแอสตราเซเนกาจนหมด พูดง่ายๆ คือตั้งแต่สายพันธุ์เดลตา วัคซีนแอสตราเซเนกาก็แทบจะหมดอนาคตในบรรดาชาติเจริญแล้ว เพราะตอนนั้นทุกคนต้องการวัคซีน mRNA เท่านั้น
และการ ‘เท’ วัคซีนแอสตราเซเนกา ในทางปฏิบัติ มันหมายถึงการบริจาคให้ชาติอื่นๆ เพื่อ ‘เอาบุญคุณ’ และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมครึ่งหลังของปี 2021 ในบ้านเราถึงมีวัคซีนแอสตราเซนากาเหลือเฟือ คำตอบคือมันเป็นวัคซีนที่ชาติอื่นๆ ที่ไม่ใช้แล้วเขาบริจาคมาทั้งนั้น
ซึ่งก็แน่นอน พอมีแอสตราเซเนกาเหลือเฟือ ไทยก็เช่นเดียวกับประเทศเจริญแล้ว ไทยก็อยากยกคุณภาพชีวิตไปอีกระดับ ซึ่งก็คืออยากได้วัคซีน mRNA และก็ค่อยๆ ได้มาในที่สุดตอนปลายปี 2021 และหลังจากนั้นการใช้แอสตราเซเนกาในไทยก็ค่อยๆ น้อยลง และ ณ กลางปี 2022 ตอนนี้ถึงใครอยากจะฉีดแอสตราเซเนกา ก็ไม่น่าจะได้ฉีดแล้ว ไปไหนก็ให้ฉีดแต่ mRNA ทั้งนั้น
และใครจะไปนึกว่า ผ่านจากจุดที่คนไทยแทบจะแย่งกันฉีดวัคซีน mRNA มาแค่ครึ่งปี มาตอนนี้ ภาครัฐก็เปิดให้วอล์คอินฉีดวัคซีน mRNA ฟรีกันทั่วไปโดยไม่ต้องจองคิวด้วยซ้ำ
พูดง่ายๆ ผ่านมาไม่กี่เดือนเรามีวัคซีนเต็มบ้านเต็มเมืองจนเกือบลืมไปแล้วว่าเคยขาดแคลน
อย่างไรก็ดี คำถามตอนนี้ที่หลายคนอาจสงสัยก็คือ ถ้าแม้แต่ไทยที่อาสาเป็น ‘ผู้ผลิต’ วัคซีนแอสตราเซเนกายังไม่เน้นฉีดวัคซีนตัวนี้ในตอนนี้เลย แล้ววีคซีนตัวนี้ไปไหน? ใครยังได้ฉีดอยู่?
ตรงนี้เราอาจต้อง ‘ย้อน’ กลับไปกลางปี 2021 จุดที่นานาชาติเริ่ม ‘เท’ วัคซีนแอสตราเซเนกากันแล้ว ชาติที่ยังเชื่อมั่นในวัคซีนตัวนี้ก็ได้แก่อินเดีย ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานผลิตวัคซีนของแอสตราเซเนกาเช่นกัน โดยวัคซีนแอสตราเซเนกาที่ผลิตในอินเดียเขาจะเรียกว่า โควิชีลด์ (Covishield)
อินเดียเป็นชาติที่น่าสนใจ เพราะจะบอกว่าเป็นเพราะสายสัมพันธ์กับอดีตเจ้าอาณานิคมเก่าอย่างอังกฤษหรือไม่ก็ไม่ทราบได้ ชาตินี้จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ยอมฉีดวัคซีน mRNA เลย และใช้วัคซีนเชื้อตายที่ผลิตเอง กับแอสตราเซเนกาเวอร์ชั่นอินเดียอย่างโควิชีลด์ล้วนๆ และจนถึงช่วงฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้น อินเดียก็ยังยืนยันที่จะไม่ใช้ mRNA อยู่ และทำให้วัคซีนแอสตราเซเนกาคือตัวเลือกที่ดีสุดถ้าคุณจะฉีดวัคซีนในอินเดีย
หรือพูดอีกแบบ อินเดียนี่แหละชาติที่น่าจะฉีดแอสตราเซเนกาเยอะที่สุดในโลก และน่าจะเยอะกว่าอังกฤษแน่ๆ เพราะจำนวนประชากรมันคนละเรื่องเลย
ดังนั้นถามว่าแอสตราเซเนกา ‘ขายออก’ ไหม ในแง่หนึ่งก็ขายออก และขายดีด้วยที่อินเดีย และก็เรียกว่าน่าจะตรงจุดประสงค์ของวัคซีน เพราะจุดขายมันคือ ราคาถูก ผลิตง่าย และขนส่งง่าย ซึ่งเหมาะกับประเทศประชากรมหาศาลและเต็มไปด้วยพื้นที่กันดารแบบอินเดีย
แต่นั่นอาจเพราะคนอินเดียไม่มีทางเลือกอื่นหรือเปล่า? เพราะชาติที่ประชากรเยอะขนาดนั้น ไม่มีทางพึ่งวัคซีนบริจาคได้ ต้องใช้วัคซีนที่ผลิตเองได้ทีละมากๆ เท่านั้น และเทคโนโลยีอินเดียในตอนนี้ยังผลิตวัคซีน mRNA ในสเกลนั้นไม่ได้ ดังนั้นตัวเลือกที่ดีสุดก็เลยเป็นวัคซีนไวรัลเวคเตอร์อย่างแอสตราเซเนกา
เพราะถ้าหากประชากรไม่เยอะเกินไป และพอจะไปขอวัคซีนชาติอื่นมาได้ แอสตราเซเนกาอาจไม่ใช่ตัวเลือกอีก
ตรงนี้ถ้าหันมาแอฟริกา (ซึ่งเป็นไม่กี่พื้นที่ที่ ‘จน’ กว่าเอเชียใต้) เราก็จะเห็นเลยว่าชาติที่รวยหน่อยแบบแอฟริกาใต้ก็ ‘เท’ วัคซีนแอสตราเซเนกาพร้อมๆ กับชาติตะวันตกน่ะแหละ ซึ่งชาติอื่นๆ ที่ไม่รวยเท่าไร แต่พออาศัยคอนเน็คชั่นไปเอาวัคซีน mRNA มาได้ ก็ ‘เท’ ทั้งหมด (ข้อดีของประเทศแอฟริกาจำนวนไม่น้อยคือประชากรน้อย ขอวัคซีนมาได้สักล็อตก็พอฉีดแล้ว และนี่ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะชาติตะวันตกก็ต้องการจะ ‘สร้างบุญคุณ’ กับภูมิภาคนี้อยู่แล้ว เพราะถ้าไม่ทำงั้น จีนก็จะยึดภูมิภาคนี้)
พูดง่ายๆ แม้แต่ชาติแอฟริกาที่ ‘มีทางเลือก’ ก็ยังไม่ฉีดแอสตราเซเนกาเลยตั้งแต่กลางปี 2021 เป็นต้นมา และที่น่าสนใจคือ สุดท้าย วัคซีนก็เลยไปตกกับพวกชาติที่จนสุดๆ และไม่มีทางเลือกใดๆ ในแอฟริกาแทน เพราะสุดท้ายชาติพวกนี้ ถ้ามีวัคซีนอะไรที่ได้มาฟรี ก็ย่อมจำเป็นต้องนำมาฉีด เพราะ ‘งบ’ มีแค่นั้น
นี่อาจเรียกได้ว่าวัคซีนแอสตราเซเนกาไป ‘สุดทาง’ แล้ว ถ้ามากกว่านี้ก็คงไม่มีใครเอา ซึ่งถ้าถึงจุดนั้นจริงๆ ก็คงต้องเอาวัคซีนไปทำลายทิ้งสถานเดียวแล้ว
ซึ่งก็นี่แหละครับ การเดินทางอันยาวไกลของวัคซีนดาวรุ่งจากอังกฤษ ที่อังกฤษกั๊กไว้ฉีดประชากรตัวเองจนชาติอื่นระอา และกว่าจะยอมส่งให้ชาติอื่นได้ ชาติอื่นๆ ก็หันหลังให้วัคซีนนี้ ก็เลยทำให้วัคซีนถูกบริจาคไปยังชาติรายได้ปานกลาง ก่อนที่ชาติรายได้ปานกลางจะเทต่อไปยังประเทศยากจน หรือพูดง่ายๆ วัคซีนแอสตราเซเนกาถูกเทลงไปเรื่อยๆ ตามระดับรายได้ และทำให้ทุกวันนี้ ณ กลางปี 2022 ถ้าชาติคุณไม่จนจริงๆ คุณคงไม่ต้องฉีดแอสตราเซเนกาแน่ๆ
ซึ่ง ณ จุดนี้ก็คงเรียกได้ว่าเป็นจุดจบของแอสตราเซเนกาจริงๆ เพราะขนาดในโครงการ COVAX ที่เป็นโครงการกระจายวัคซีนให้ประเทศยากจน ประเทศที่เข้าร่วมเขายังบอกเลยว่าถ้าเลือกได้ก็ไม่เอาแอสตราเซเนกา เพราะ ณ ตอนนี้มันถือว่าเป็น ‘วัคซีนประสิทธิภาพต่ำ’ แทบไม่ได้ต่างจากบรรดาวัคซีนเชื้อตายจากจีนแล้ว
และก็ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้วัคซีนแอสตราเซเนกามันมีเหลือเต็มไปหมดเลย เพราะขนาดผู้ผลิตรายใหญ่อย่างอินเดียยังหยุดผลิตไปแล้วเมื่อปลายปี 2021 หลังจากมีวัคซีนกองกันเหลือๆ ฉีดไม่ทันอยู่ 200 ล้านโดส
ซึ่งก็น่าสงสัยอีกว่า วัคซีนแอสตราเซเนกาที่ไทยผลิต ที่ไทยบอกว่าส่งไปอินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และไต้หวัน นั้นยอดส่งรวมๆ มันกี่โดสกันแน่ๆ หรือให้ตรงกว่านั้น มันน่าสงสัยว่าที่ยกเครื่องโรงงานสยามไบโอไซเอนซ์ให้เป็นผู้ผลิตนั้น มันได้ผลิตจริงๆ กันสักกี่โดส
อ้างอิง
- The Conversation. What happened to the AstraZeneca vaccine? Now rare in rich countries, it’s still saving lives around the world. https://bit.ly/3NS791E
- BBC. Covid-19 vaccines: Why some African states can’t use their vaccines. https://bbc.in/3mlvlhb
- BBC. AstraZeneca vaccine: Did nationalism spoil UK’s ‘gift to the world’?. https://bbc.in/3tkZCk5
- FiercePharma. With 200M unused doses, AstraZeneca’s COVID vaccine partner Serum Institute halts production. https://bit.ly/395c4Og
- Reuters. Poorer nations shun AstraZeneca COVID vaccine – document. https://reut.rs/3tjXFEG