6 Min

เส้นทางของ AstraZeneca: อดีตวัคซีน ‘ม้าเต็ง’ ที่ทุกวันนี้ขนาดแอฟริกายังเมิน

6 Min
417 Views
13 Jun 2022

ณ กลางปี 2022 จุดที่โลกกำลังเริ่มเป็นปกติ หลายๆ ชาติปลดล็อกนโยบายโควิดต่างๆ จนสิ้น และในเมืองไทยเอง หลังจากไม่ต้องมีการตรวจ RT-PCR คนเข้าออกประเทศแล้ว การถอดหน้ากากก็อาจเป็นสัญญาณการจบสิ้นลงของมาตรการเข้มงวดในการป้องกันโควิด-19’

อย่างไรก็ดี เนื่องในโอกาสที่โควิดใกล้จะจบ เราอยากจะย้อนพูดถึงสิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรหลงลืมก็คือ ปัญหาการจัดการวัคซีนของรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งแกนกลางของปัญหาก็คือการแทงม้าเต็งให้คนไทยฉีดวัคซีนแอสตราเซนากา (AstraZeneca) ของท่านรัฐมนตรีสาธารณสุข ที่สุดท้ายคนไทยก็แทบไม่ได้ฉีดวัคซีนตัวนี้ที่ผลิตในไทยเลย

แล้ววัคซีนชนิดนี้หายไปไหน? เราจะมาเล่าให้ฟังกัน

เพื่อย้ำว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง วัคซีนแอสตราเซเนกาเป็นวัคซีนโควิดตัวแรกๆ ที่ทดสอบแล้วได้ผลน่าพอใจ ซึ่งในตอนแรกสุด โลกตะวันตกมันมีวัคซีนพัฒนามาสำเร็จพร้อมๆ กัน 3 ตัวในปี 2020 คือ ไฟเซอร์, โมเดอร์นา และแอสตราเซเนกา

สถานะของแอสตราเซเนกาตอนนั้นมีภาษีดีมาก เพราะใช้เทคโนโลยีเก่าที่ปลอดภัยแบบเทคโนโลยีไวรัลเวคเตอร์ (คือใช้ไวรัสตัวอื่นเป็นพาหะนำพาพันธุกรรมของโควิดเข้าไปในร่างกายมนุษย์เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน) ซึ่งมันเก็บได้ง่าย เก็บในตู้เย็นทั่วๆ ไปได้เป็นเวลานาน และที่สำคัญที่สุดมันมีราคาถูก

นี่คือข้อได้เปรียบของแอสตราเซเนกา ที่เหนือกว่าวัคซีน mRNA อย่างไฟเซอร์และโมเดอร์นา ที่ผลิตยากกว่า จัดเก็บยากกว่า และราคาแพงกว่า และทำให้แอสตราเซเนกาเป็นม้าเต็งของรัฐมนตรีสาธารณสุข ที่วางยุทธศาสตร์ให้เมืองไทยเป็นศูนย์กลางผลิตวัคซีนตัวนี้

อย่างไรก็ดี สิ่งที่สร้างปัญหาให้กับวัคซีนตัวนี้ตั้งแต่แรกๆ คือการเมือง

ในโลกตะวันตก วัคซีนแอสตราเซเนกาคือวัคซีนอังกฤษดังนั้นอเมริกาจึงไม่ยอมใช้วัคซีนตัวนี้ (และ ณ ตอนนี้ จนโควิดจะจบแล้ว หน่วยงานด้านสาธารณสุขของอเมริกายังไม่ยอมรับวัคซีนตัวนี้เลย) และแน่นอนมหาอำนาจอื่นๆ อย่างจีนกับรัสเซียก็ไม่ใช้

หรือพูดง่ายๆด้วยศักดิ์ศรีทุกประเทศมหาอำนาจจงใจจะใช้วัคซีนของตัวเองเพื่อผ่านพ้นวิกฤตโควิด และนี่ทำให้แอสตราเซนากาขายไม่ออกในประเทศพวกนี้

อย่างไรก็ดี ด้วยความต้องการวัคซีนเป็นอย่างยิ่งในตอนแรก ชาติยุโรปต่างๆ ที่ไม่ได้ผลิตวัคซีนเอง ก็สั่งแอสตราเซเนกาจากอังกฤษเยอะมากๆ เพราะทุกชาติคิดว่าสั่งไฟเซอร์ไปก็ไม่ได้หรอก เพราะประเทศใหญ่โตอย่างอเมริกาน่าจะเร่งผลิตและฉีดให้ชาติตัวเองไปก่อนสักพักเลย

แต่หารู้ไม่ว่า อังกฤษก็คิดอย่างนี้ ช่วงแรกสุดที่แอสตราเซเนกาผลิตได้แค่ในอังกฤษ อังกฤษก็ผลิตมาฉีดให้ประชาชนตัวเอง และผิดนัดส่งวัคซีนตามออเดอร์ของหลายต่อหลายประเทศจนทำให้เซ็งไปตามๆ กัน เพราะนั่นทำให้การจัดคิวฉีดวัคซีนรวนไปหมด และทำให้ชาติต่างๆ เริ่มฉีดพวกไฟเซอร์เท่าที่มีไปก่อน เพราะไฟเซอร์นั้นถึงจะมีไม่เยอะในช่วงแรก แต่ก็ส่งวัคซีนมาตามกำหนด

กว่าอังกฤษจะฉีดให้ประชากรจนอิ่มตัวและพร้อมส่งวัคซีนให้ชาติอื่นก็ล่วงเลยไปกลางปี 2021 ซึ่งถ้าจำได้ ตอนนั้นโควิดกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์เดลตาพอดี และหลายๆ คนก็คงจะรู้ว่ามันทำให้ประสิทธิภาพวัคซีนในการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์นี้ต่ำลงทั้งหมด และทำให้วัคซีนแอสตราเซเนกาที่เคยมีประสิทธิภาพสูงลดประสิทธิภาพลงเหลือแค่ปานกลาง

นี่เป็นจุดหักเหสำคัญที่ทำให้ชาติที่พอจะมีเงินและมีทางเลือกทุกชาติทำการเทวัคซีนแอสตราเซเนกาจนหมด พูดง่ายๆ คือตั้งแต่สายพันธุ์เดลตา วัคซีนแอสตราเซเนกาก็แทบจะหมดอนาคตในบรรดาชาติเจริญแล้ว เพราะตอนนั้นทุกคนต้องการวัคซีน mRNA เท่านั้น

และการเทวัคซีนแอสตราเซเนกา ในทางปฏิบัติ มันหมายถึงการบริจาคให้ชาติอื่นๆ เพื่อเอาบุญคุณและนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมครึ่งหลังของปี 2021 ในบ้านเราถึงมีวัคซีนแอสตราเซนากาเหลือเฟือ คำตอบคือมันเป็นวัคซีนที่ชาติอื่นๆ ที่ไม่ใช้แล้วเขาบริจาคมาทั้งนั้น

ซึ่งก็แน่นอน พอมีแอสตราเซเนกาเหลือเฟือ ไทยก็เช่นเดียวกับประเทศเจริญแล้ว ไทยก็อยากยกคุณภาพชีวิตไปอีกระดับ ซึ่งก็คืออยากได้วัคซีน mRNA และก็ค่อยๆ ได้มาในที่สุดตอนปลายปี 2021 และหลังจากนั้นการใช้แอสตราเซเนกาในไทยก็ค่อยๆ น้อยลง และ ณ กลางปี 2022 ตอนนี้ถึงใครอยากจะฉีดแอสตราเซเนกา ก็ไม่น่าจะได้ฉีดแล้ว ไปไหนก็ให้ฉีดแต่ mRNA ทั้งนั้น

และใครจะไปนึกว่า ผ่านจากจุดที่คนไทยแทบจะแย่งกันฉีดวัคซีน mRNA มาแค่ครึ่งปี มาตอนนี้ ภาครัฐก็เปิดให้วอล์คอินฉีดวัคซีน mRNA ฟรีกันทั่วไปโดยไม่ต้องจองคิวด้วยซ้ำ 

พูดง่ายๆ ผ่านมาไม่กี่เดือนเรามีวัคซีนเต็มบ้านเต็มเมืองจนเกือบลืมไปแล้วว่าเคยขาดแคลน

อย่างไรก็ดี คำถามตอนนี้ที่หลายคนอาจสงสัยก็คือ ถ้าแม้แต่ไทยที่อาสาเป็นผู้ผลิตวัคซีนแอสตราเซเนกายังไม่เน้นฉีดวัคซีนตัวนี้ในตอนนี้เลย แล้ววีคซีนตัวนี้ไปไหน? ใครยังได้ฉีดอยู่?

ตรงนี้เราอาจต้องย้อนกลับไปกลางปี 2021 จุดที่นานาชาติเริ่มเทวัคซีนแอสตราเซเนกากันแล้ว ชาติที่ยังเชื่อมั่นในวัคซีนตัวนี้ก็ได้แก่อินเดีย ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานผลิตวัคซีนของแอสตราเซเนกาเช่นกัน โดยวัคซีนแอสตราเซเนกาที่ผลิตในอินเดียเขาจะเรียกว่า โควิชีลด์ (Covishield)

อินเดียเป็นชาติที่น่าสนใจ เพราะจะบอกว่าเป็นเพราะสายสัมพันธ์กับอดีตเจ้าอาณานิคมเก่าอย่างอังกฤษหรือไม่ก็ไม่ทราบได้ ชาตินี้จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ยอมฉีดวัคซีน mRNA เลย และใช้วัคซีนเชื้อตายที่ผลิตเอง กับแอสตราเซเนกาเวอร์ชั่นอินเดียอย่างโควิชีลด์ล้วนๆ และจนถึงช่วงฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้น อินเดียก็ยังยืนยันที่จะไม่ใช้ mRNA อยู่ และทำให้วัคซีนแอสตราเซเนกาคือตัวเลือกที่ดีสุดถ้าคุณจะฉีดวัคซีนในอินเดีย

หรือพูดอีกแบบ อินเดียนี่แหละชาติที่น่าจะฉีดแอสตราเซเนกาเยอะที่สุดในโลก และน่าจะเยอะกว่าอังกฤษแน่ๆ เพราะจำนวนประชากรมันคนละเรื่องเลย

ดังนั้นถามว่าแอสตราเซเนกาขายออกไหม ในแง่หนึ่งก็ขายออก และขายดีด้วยที่อินเดีย และก็เรียกว่าน่าจะตรงจุดประสงค์ของวัคซีน เพราะจุดขายมันคือ ราคาถูก ผลิตง่าย และขนส่งง่าย ซึ่งเหมาะกับประเทศประชากรมหาศาลและเต็มไปด้วยพื้นที่กันดารแบบอินเดีย

แต่นั่นอาจเพราะคนอินเดียไม่มีทางเลือกอื่นหรือเปล่า? เพราะชาติที่ประชากรเยอะขนาดนั้น ไม่มีทางพึ่งวัคซีนบริจาคได้ ต้องใช้วัคซีนที่ผลิตเองได้ทีละมากๆ เท่านั้น และเทคโนโลยีอินเดียในตอนนี้ยังผลิตวัคซีน mRNA ในสเกลนั้นไม่ได้ ดังนั้นตัวเลือกที่ดีสุดก็เลยเป็นวัคซีนไวรัลเวคเตอร์อย่างแอสตราเซเนกา 

เพราะถ้าหากประชากรไม่เยอะเกินไป และพอจะไปขอวัคซีนชาติอื่นมาได้ แอสตราเซเนกาอาจไม่ใช่ตัวเลือกอีก

ตรงนี้ถ้าหันมาแอฟริกา (ซึ่งเป็นไม่กี่พื้นที่ที่จนกว่าเอเชียใต้) เราก็จะเห็นเลยว่าชาติที่รวยหน่อยแบบแอฟริกาใต้ก็เทวัคซีนแอสตราเซเนกาพร้อมๆ กับชาติตะวันตกน่ะแหละ ซึ่งชาติอื่นๆ ที่ไม่รวยเท่าไร แต่พออาศัยคอนเน็คชั่นไปเอาวัคซีน mRNA มาได้ ก็เททั้งหมด (ข้อดีของประเทศแอฟริกาจำนวนไม่น้อยคือประชากรน้อย ขอวัคซีนมาได้สักล็อตก็พอฉีดแล้ว และนี่ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะชาติตะวันตกก็ต้องการจะสร้างบุญคุณกับภูมิภาคนี้อยู่แล้ว เพราะถ้าไม่ทำงั้น จีนก็จะยึดภูมิภาคนี้)

พูดง่ายๆ แม้แต่ชาติแอฟริกาที่มีทางเลือกก็ยังไม่ฉีดแอสตราเซเนกาเลยตั้งแต่กลางปี 2021 เป็นต้นมา และที่น่าสนใจคือ สุดท้าย วัคซีนก็เลยไปตกกับพวกชาติที่จนสุดๆ และไม่มีทางเลือกใดๆ ในแอฟริกาแทน เพราะสุดท้ายชาติพวกนี้ ถ้ามีวัคซีนอะไรที่ได้มาฟรี ก็ย่อมจำเป็นต้องนำมาฉีด เพราะงบมีแค่นั้น

นี่อาจเรียกได้ว่าวัคซีนแอสตราเซเนกาไปสุดทางแล้ว ถ้ามากกว่านี้ก็คงไม่มีใครเอา ซึ่งถ้าถึงจุดนั้นจริงๆ ก็คงต้องเอาวัคซีนไปทำลายทิ้งสถานเดียวแล้ว

ซึ่งก็นี่แหละครับ การเดินทางอันยาวไกลของวัคซีนดาวรุ่งจากอังกฤษ ที่อังกฤษกั๊กไว้ฉีดประชากรตัวเองจนชาติอื่นระอา และกว่าจะยอมส่งให้ชาติอื่นได้ ชาติอื่นๆ ก็หันหลังให้วัคซีนนี้ ก็เลยทำให้วัคซีนถูกบริจาคไปยังชาติรายได้ปานกลาง ก่อนที่ชาติรายได้ปานกลางจะเทต่อไปยังประเทศยากจน หรือพูดง่ายๆ วัคซีนแอสตราเซเนกาถูกเทลงไปเรื่อยๆ ตามระดับรายได้ และทำให้ทุกวันนี้ ณ กลางปี 2022 ถ้าชาติคุณไม่จนจริงๆ คุณคงไม่ต้องฉีดแอสตราเซเนกาแน่ๆ

ซึ่ง ณ จุดนี้ก็คงเรียกได้ว่าเป็นจุดจบของแอสตราเซเนกาจริงๆ เพราะขนาดในโครงการ COVAX ที่เป็นโครงการกระจายวัคซีนให้ประเทศยากจน ประเทศที่เข้าร่วมเขายังบอกเลยว่าถ้าเลือกได้ก็ไม่เอาแอสตราเซเนกา เพราะ ณ ตอนนี้มันถือว่าเป็นวัคซีนประสิทธิภาพต่ำแทบไม่ได้ต่างจากบรรดาวัคซีนเชื้อตายจากจีนแล้ว 

และก็ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้วัคซีนแอสตราเซเนกามันมีเหลือเต็มไปหมดเลย เพราะขนาดผู้ผลิตรายใหญ่อย่างอินเดียยังหยุดผลิตไปแล้วเมื่อปลายปี 2021 หลังจากมีวัคซีนกองกันเหลือๆ ฉีดไม่ทันอยู่ 200 ล้านโดส

ซึ่งก็น่าสงสัยอีกว่า วัคซีนแอสตราเซเนกาที่ไทยผลิต ที่ไทยบอกว่าส่งไปอินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และไต้หวัน นั้นยอดส่งรวมๆ มันกี่โดสกันแน่ๆ หรือให้ตรงกว่านั้น มันน่าสงสัยว่าที่ยกเครื่องโรงงานสยามไบโอไซเอนซ์ให้เป็นผู้ผลิตนั้น มันได้ผลิตจริงๆ กันสักกี่โดส

อ้างอิง

  • The Conversation. What happened to the AstraZeneca vaccine? Now rare in rich countries, it’s still saving lives around the world. https://bit.ly/3NS791E 
  • BBC. Covid-19 vaccines: Why some African states can’t use their vaccines. https://bbc.in/3mlvlhb 
  • BBC. AstraZeneca vaccine: Did nationalism spoil UK’s ‘gift to the world’?. https://bbc.in/3tkZCk5 
  • FiercePharma. With 200M unused doses, AstraZeneca’s COVID vaccine partner Serum Institute halts production. https://bit.ly/395c4Og 
  • Reuters. Poorer nations shun AstraZeneca COVID vaccine – document. https://reut.rs/3tjXFEG