5 Min

‘ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ’ บทเรียนจากชีวิตจริงของ ‘เทย์เลอร์ สวิฟท์’

5 Min
4923 Views
30 Nov 2021

เมื่อไม่นานมานี้ ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ ได้ปล่อยเพลง All Too Well (Taylor’s Version) ความยาว 10 นาที พร้อมกับภาพยนตร์สั้นความยาว 15 นาทีออกมาให้แฟนๆ ได้ชมกัน งานนี้เทย์เลอร์ทั้งกำกับเอง เขียนบทเอง และยังแสดงเองอีกด้วย

All Too Well เป็นเพลงอกหักที่โคตรจะเจ็บมาตั้งแต่สมัยอัลบั้ม Red (2012) แล้ว พอถูกถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสั้นก็ทำให้เห็นภาพความเจ็บปวดออกมาเป็นฉากๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งความหมายของเพลง พัฒนาการความสัมพันธ์ของคู่รัก ตั้งแต่เริ่มรักกันจนถึงวันที่ความสัมพันธ์จบลง รวมถึงประเด็นเรื่อง ‘Toxic relationship’ ที่ถ่ายทอดออกมาได้ดีมากๆ จนรู้สึกว่าเวลา 15 นาทีนี้มันสั้นเกินไปด้วยซ้ำ

ภาพยนตร์สั้น ‘All Too Well: The Short Film’ น่าสนใจตรงที่มันได้แรงบันดาลใจจากชีวิตของเทย์เลอร์เองเมื่อสมัย 10 ปีที่แล้ว แต่วันนี้เราไม่ได้จะมาพูดถึงว่าเพลงนี้เทย์เลอร์แต่งให้ใคร หรือมี Easter egg อะไรซ่อนอยู่ในนั้น แต่จะมาพูดถึงตัวอย่าง ‘Red Flag’ ของความสัมพันธ์ที่ถูกถ่ายทอดออกมาจาก All Too Well: The Short Film

(ในที่นี้เราจะเรียกตัวละครว่า ฝ่ายชาย และ ฝ่ายหญิง ตามต้นฉบับที่เทย์เลอร์ใช้เป็น Him และ Her)

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกับคำว่า ‘Red Flag’ กันก่อนว่าหมายถึงอะไร

‘Red Flag’ หรือ ‘สัญญาณอันตรายของความสัมพันธ์’ หมายถึงพฤติกรรมความรุนแรงในความสัมพันธ์ที่ทำร้ายให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียความรู้สึก เจ็บช้ำจนอาจทำให้เสียสุขภาพจิต พฤติกรรมความรุนแรงที่ว่านั้นเป็นปัญหาที่ทำให้ความสัมพันธ์เปลี่ยนไปเป็น ‘Toxic relationship’ และเกินกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของคู่รักที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีพฤติกรรม Red flag ความสัมพันธ์ครั้งนั้นมักจะจบไม่สวย

จาก All Too Well: The Short Film เราจะเห็นได้เลยความสัมพันธ์ของตัวละครนั้นเริ่มระหองระแหงตั้งแต่บทที่ 2 ‘The First Crack In The Glass’

หลังจากที่ความสัมพันธ์ของตัวละครผ่านจุดหวานฉ่ำที่สุดมาแล้ว ตัวละครก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยความจริงที่ว่า ‘ความรักนั้นไม่ได้มีแต่สิ่งสวยงามเพียงอย่างเดียว’ ฉากแรกของ The First Crack In The Glass เป็นฉากปาร์ตี้ที่เพื่อนของฝ่ายชายมาที่บ้าน ฝ่ายชายสนุกกับเพื่อนมากจนเผลอสะบัดมือฝ่ายหญิงทิ้ง หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มมีปัญหากัน ฝ่ายชายโยนของใส่ ทิ้งฝ่ายหญิงไว้ในรถคนเดียว

F*** the patriachy key chain | store.taylorswift.com

Red Flag no.1: Patriarchal relationship

จากก่อนหน้านี้ ของที่ฝ่ายชายโยนใส่คือพวงกุญแจที่เขียนว่า ‘F*** the patriarchy’ ต่อมาเป็นฉากที่ฝ่ายหญิงยืนล้างจานอยู่คนเดียวในห้องครัว ซึ่งเป็นเหตุการณ์หลังจากที่เพื่อนฝ่ายชายมาบ้าน โดยที่ฝ่ายชายไม่ช่วยทำอะไรเลย แถมยังเอาจานมาทิ้งไว้ที่ซิงค์เพิ่มอีกต่างหาก คุณเห็นอะไรจากฉากที่เกิดขึ้นไม่กี่วินาทีนี้ไหม?

หลายคนอาจจะไม่สังเกตเห็นเพราะมันเกิดขึ้นไวมากจนแทบมองไม่ทัน และฉากนั้นมันก็ดูเหมือนเรื่องปกติทั่วไปในสังคม แต่มันปกติจริงหรือ? มันดูย้อนแย้งไหม กับภาพลักษณ์ของตัวละครชายที่ใช้พวงกุญแจ ‘F*** the patriarchy’ แต่สิ่งที่แสดงออกมามันช่างตรงข้ามเหลือเกิน มันอาจสื่อให้เห็นถึงว่า คนที่เคลมตัวเองว่า ‘เกลียดปิตาธิปไตย’ (ความหมายซอฟต์ๆ ของพวงกุญแจ) กลับกลายเป็นคนที่มีพฤติกรรมแบบนั้นเสียเอง

เทย์เลอร์ สวิฟต์ขึ้นชื่อเรื่องสนับสนุนเฟมินิสต์อยู่แล้ว การมีฉากที่สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมสังคมชายเป็นใหญ่ และแนวคิดที่ผู้หญิงมีหน้าที่ทำงานบ้านสอดแทรกอยู่ในนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่เธอตั้งใจจะสื่อให้เห็นว่าคนในสังคมก็ยังมีความคิดอะไรแบบนี้อยู่จริง มันดูไม่แฟร์กับอีกฝ่ายเท่าไหร่ที่ฝ่ายหนึ่งมีอำนาจในบ้านมากกว่า ทั้งๆ ที่ความสัมพันธ์ของคนสองคนควรจะเท่าเทียมกัน เรื่องนี้เป็นอะไรที่พูดยากมากเพราะเป็นประเด็นสังคมที่อ่อนไหว แต่การที่ฝ่ายหนึ่งถูกกดเป็นเวลานานก็จะทำให้มีปัญหาตามมาและความสัมพันธ์ก็มักจะจบลงด้วยความเจ็บปวด

All Too Well: The Short Film | youtu.be/tollGa3S0o8 

Red Flag no.2: Gaslighting

ฉากในห้องครัวฉากเดิม ทั้งคู่เริ่มทะเลาะกันเพราะผู้หญิงบอกว่าฝ่ายชายเปลี่ยนไป มัวแต่สนุกกับเพื่อนจนไม่สนใจเธอเลย ซึ่งเธอไม่ได้พูดอะไรเกินความจริงเลย แต่ฝ่ายชายกลับต่อว่าเธอว่า ‘Bullsh*t’ (งี่เง่า) และบอกว่าฝ่ายหญิงเห็นแก่ตัวมากที่คิดอะไรแบบนั้น

ทั้งคู่ทะเลาะกันด้วยสาเหตุที่เกิดจากฝ่ายชาย แต่ทำไมฝ่ายหญิงถึงถูกโยนความผิดว่างี่เง่าและเห็นแก่ตัว เป็นอะไรที่น่าโมโหมาก พฤติกรรมที่ฝ่ายชายทำเรียกว่า ‘Gaslighting’ หรือการปั่นหัวให้อีกฝ่ายรู้สึกผิด ส่วนตัวเองก็ลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ปล่อยให้อีกผ่านตบตีกับความรู้สึกในหัวของตัวเองไป ซึ่งในฉากนั้นจะเห็นได้เลยว่าแววตาของฝ่ายหญิงเปลี่ยนจากโกรธเป็นสับสนไปเลย ตอนที่โดนต่อว่าว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว จนเธอรู้สึกแย่ถึงกับร้องไห้ออกมา

ถึงตอนนี้น่าจะเห็นแล้วว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้ toxic แค่ไหน คนที่เคยเจอเหตุการณ์นี้ก็คงเข้าใจความรู้สึกนี้ดีกว่ามันแย่มาก ยิ่งน่าเศร้าตรงที่ คนที่โดน gaslight ส่วนใหญ่จะไม่รู้ตัว และกว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองโดนปั่นหัว ก็ทำให้คนที่โดนเสียความมั่นใจไปแล้ว สภาพจิตใจก็อาจจะแตกหักจนถึงขั้นทำให้เป็นโรคซึมเศร้าได้ ถ้าคุณดูฉากนี้แล้วรู้สึก relate มาก ลองสำรวจตัวเองดูนะว่าคุณกำลังโดน gaslight อยู่หรือเปล่า ถ้าใช่ คุณควรพาตัวเองออกจากตรงนั้นก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ลงไปกว่านี้

หลังจากบทที่ 2 ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ขึ้นๆ ลงๆ ไปจนถึงบทที่ 4 ‘The Breaking Point’ ที่ทั้งคู่เลิกกัน ฉากนี้ เซดี้ ซิงค์ (Sadie Sink) นักแสดงที่เล่นเป็นฝ่ายหญิงแสดงได้ดีมาก บวกกับทั้งบรรยากาศ ทั้งเนื้อเพลง มันบิ้วสุดๆ จนทำเอาหลายคนถึงกับเสียน้ำตา

‘Well, maybe we got lost in translation
Maybe I asked for too much
But maybe this thing was a masterpiece’

เนื้อเพลงตรงบทที่ 4 นี้ยิ่งย้ำประเด็น ‘gaslighting’ ขึ้นไปอีกว่าฝ่ายหญิงโดนปั่นหัว จนโทษตัวเองว่าการที่ทั้งคู่เลิกกันเป็นความผิดของเธอทั้งหมด

All Too Well: The Short Film | youtu.be/tollGa3S0o8 

Red Flag no.3: Manipulation

บทที่ 4, 5 (‘The Reeling’) และ 6 (‘The Remembering’) สะท้อนให้เห็นว่าฝ่ายหญิงหมดความมั่นใจในตัวเองไปแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าเธอทำตัวไม่ถูกหลังจากที่เลิกกันไปแล้ว แรกๆ เธอแทบจะอยู่ไม่ได้เลยเมื่อไม่มีเขา นั่นเป็นเพราะว่าการที่โดนกดอยู่ใต้ความสัมพันธ์ที่ฝ่ายชายเป็นใหญ่ และการโดนปั่นหัวนั้น สามารถเรียกรวมๆ ได้ว่าการโดนครอบงำทางจิตใจหรือ ‘Psychological Manipulation’ ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญของทั้งเพลงและภาพยนตร์สั้นเรื่องนี้เลยก็ว่าได้

บทความหนึ่งได้วิเคราะห์ประเด็นนี้ไว้ว่า ฝ่ายหญิงโดน manipulate ทั้งเรื่องเป็นเพราะพฤติกรรมของฝ่ายชายอย่างที่กล่าวไปในตอนต้น และด้วยความที่ทั้งคู่มีช่องว่างระหว่างวัย ฝ่ายชายใช้ความเป็นผู้ใหญ่ครอบงำความคิดและพฤติกรรมจนเธอไม่เป็นตัวของตัวเอง ในขณะที่ตอนนั้นเธอมีอายุแค่ 20 ปีเท่านั้นเอง (เธอฉลองอายุ 21 ปีหลังจากที่ทั้งคู่เลิกกันไปแล้ว) มันยิ่งตอกย้ำความรู้สึกด้อยค่านี้ลงไปอีก ท้ายที่สุดแล้วความสัมพันธ์นี้ก็จบลงด้วยความเจ็บปวดอย่างที่เห็นกัน

ถึงความสัมพันธ์ครั้งนี้จะจบลงไม่สวย แต่บทส่งท้ายของเรื่องนี้ก็ยังมีอะไรดีๆ อยู่

‘Thirteen Years Gone’ | youtu.be/tollGa3S0o8

บทส่งท้าย ‘Thirteen Years Gone’ เทย์เลอร์แสดงเป็นฝ่ายหญิงในเวอร์ชันที่โตขึ้น

13 ปีผ่านไป เธอเขียนนิยายที่มีชื่อเรื่องว่า ‘All Too Well’ ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับเพลงนี้

13 ปีผ่านไป เธอกลายเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จมีแฟนๆ มากมาย

และที่สำคัญที่สุด 13 ปีผ่านไป ในที่สุดเธอก็ก้าวข้ามความเจ็บปวดครั้งนั้นมาได้แล้ว

ตอนจบของภาพยนตร์สั้นเรื่องนี้ก็เป็นเหมือนตัวแทนของอัลบั้ม Red (Taylor’s Version) ที่เทย์เลอร์เพิ่งปล่อยออกมา ถึงแม้ในอดีตเธอจะผ่านความเจ็บปวดมามากมาย แต่ในวันนี้เธอแข็งแกร่งและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าตอนนั้นแล้ว

ภาพยนตร์สั้นที่นักร้องสาวลงมือเขียนและกำกับเองเรื่องนี้ ถือเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตไปให้ได้เหมือนกันเธอ ขนาดเทย์เลอร์ยังผ่านมาได้เลย แล้วทำไมเราจะผ่านมันไปไม่ได้จริงไหม?

ใครดูภาพยนตร์สั้นเรื่องนี้แล้วมีความคิดเห็นยังไง มาแลกเปลี่ยนกันในช่องคอมเมนต์ด้านล่างนี้ได้เลย 🙂

อ้างอิง

Taylor Swift – All Too Well: The Short Film. https://bit.ly/3cqBfsq

Psychologists Explain The Major Red Flag In Taylor Swift’s “All Too Well” Film. https://bit.ly/3qRCPfj

Taylor Swift’s Short Film is a Masterpiece We’ll Remember ‘All Too Well’. https://bit.ly/3cujXe8