เมื่อบอกโจบีอาวิเอชั่น (Joby Aviation) เข้าตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาไปเงียบๆ เมื่อกลางปี 2021 หลายคนก็คงสงสัยว่าบริษัทนี้ต้องการจะทำอะไร? ถ้าจะตอบสั้นๆ คือเขาทำสิ่งที่เรียกว่า ยานไฟฟ้าที่บินขึ้นลงทางตรงได้ หรือ Electric Vertical Takeoff and Landing (eVTOL) Aircraft
พูดภาษาชาวบ้านก็คือ ‘โดรน’ ขนาดใหญ่ระดับที่คนเข้าไปนั่งได้ ซึ่งในทางคอนเซปต์มันก็ยังรักษาความเป็นโดรน นั่นคือ ‘ใช้พลังงานไฟฟ้า’ และ ‘ไร้คนขับ’ นั่นเอง
แน่นอน ไม่ว่าไอ้ ‘โดรนยักษ์’ นี้จะออกมาในรูปแบบไหน ราคาคงแพงมากแน่ๆ แล้วทางบริษัทจะทำมาขายใคร? คำตอบคือเขาทำมาเพื่อให้มันกลายแท็กซี่อากาศ หรือพูดอีกแบบคือไม่ได้ทำมาเป็น ‘โดรนนั่งส่วนบุคคล’ แต่จะเป็น ‘โดรนโดยสารสาธารณะ’
บางคนอาจจะบอกว่า “แป๊บนึงนะ นี่เราอยู่ในหนังไซไฟสักเรื่องหรือเปล่า? ” คำตอบคือไม่ใช่ อย่างที่บอกว่าโจบีอาวิเอชั่นเข้าตลาดหุ้นอเมริกาไปในปีที่แล้ว และบริษัทนี้ก็ตั้งมาเป็นสิบปีแล้ว ซึ่งนอกจากบริษัทนี้มันก็มีอีกเป็นสิบบริษัทที่กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์แบบเดียวกันเรียกง่ายๆ ก็คือ ‘โดรนยักษ์ขนาดคนนั่งได้’ และทั้งอุตสาหกรรมก็ดูจะมองตรงกันว่าเทคโนโลยีนี้ถ้ามันจะเอามา ‘ขาย’ ได้ มันก็น่าจะเอามาทำเป็น ‘แท็กซี่อากาศ’ ได้
เพราะอย่างที่บอก เทคโนโลยีนี้เอาไปขายเป็นลำๆ ราคามันจะแพงมากๆ แบบไม่มีทางจะขายให้คนมีกันบ้านละลำได้ในเวลา 10-20 ปีนี้แน่ๆ ดังนั้นทางออกจึงมีเพียงการทำให้มันเป็น ‘โดรนโดยสารสาธารณะ’ หรือให้คน ‘เช่า’ ใช้ในเวลาจำกัด เพราะรายได้ชนชั้นกลางน่าจะทำได้แค่นั้น ซึ่งถ้าเป็นจริง ชีวิตเราก็คงจะคล้ายๆ หนังไซไฟไฮเทคที่คนเลิกใช้รถใช้ถนนกันแล้ว แต่ใช้พวกยานบินเพื่อคมนาคมในเมืองใหญ่ๆ แทน
ฟังดูน่าตื่นเต้นมาก เพราะ ‘ในทางเทคโนโลยี’ มันไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันแล้ว มันน่าจะทำได้จริง แต่กว่าจะถึงเวลานั้นก็น่าจะมีอุปสรรคอีกเพียบ
อย่างแรกเลยในเชิงต้นทุน ทุกคนคงสงสัยว่า ถ้าจะมีการทำ ‘โดรนยักษ์’ มาให้บริการเป็นแท็กซี่ ค่าบริการคงจะโหดน่าดู ใครมันจะไปขึ้น? ค่าแท็กซี่ในโลกตะวันตก จริงๆ ก็ไม่ได้มีราคาถูก ซึ่งที่ราคามันไม่ถูก ไม่ใช่เพราะว่ารถยนต์เขาราคาแพง หรือน้ำมันราคาแพง เพราะจริงๆ รถยนต์ของบ้านเขาน่าจะราคาถูกกว่าด้วยซ้ำแบบยังไม่เทียบค่าครองชีพ และพอเทียบค่าครองชีพก็ยิ่งถูกไปอีก ส่วนราคาน้ำมันก็ไม่น่าจะต่างกันเท่าไรเพราะมันขึ้นอยู่กับราคาในตลาดโลกอยู่แล้ว ดังนั้นส่วนที่ทำให้ค่าแท็กซี่บ้านแพงก็คือ ‘ค่าแรง’ ของบ้านเขาที่สูงกว่าบ้านเรามาก
ดังนั้นพวกบริษัทที่ผลิตโดรนยักษ์เพื่อจะทำ ‘แท็กซี่อากาศ’ เลยคิดตรงกันว่า ถ้าจะทำมาขายจริงๆ ถ้ามีคนขับมันก็เป็นแค่เฮลิคอปเตอร์ ซึ่งจะทำให้ค่าบริการแพง ดังนั้นจะเป็นไปได้ สามารถให้บริการได้จริงๆ แบบที่คนพอจ่ายไหว มันต้อง ‘ไม่มีคนขับ’ พูดง่ายๆ ก็คือเป็นโดรนอัตโนมัติที่จะบินไปส่งคนได้ผ่านการควบคุมของ AI ซึ่งเขาก็ประเมินกันแล้วว่า ถ้าตัด ‘คนขับ’ ออกไป มันเป็นไปได้ที่จะทำให้ราคาค่าโดยสารมันพอๆ กับแท็กซี่แบบแพงๆ หน่อยอย่าง Uber (ซึ่งพวกนี้ ค่าบริการประมาณกิโลเมตรละ 20-40 บาท)
ความท้าทายในการสร้าง ‘โดรนยักษ์’ เพื่อมาเป็น ‘แท็กซี่’ มันไม่ใช่แค่สร้างโดรนลำใหญ่ๆ ที่ในทางเทคนิคนั้นไม่ได้ยาก แต่คือการสร้าง AI เพื่อให้มันขับเคลื่อน ส่งคน และลงจอด ได้อย่างปลอดภัยต่างหาก
นี่คือประเด็นในทางเทคนิคของการสร้าง ‘โดรนยักษ์’ ที่ว่า
ประเด็นต่อมา เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ถ้า ‘โดรนยักษ์’ จะให้บริการทั่วน่านฟ้าเมืองใหญ่ได้จริง สิ่งที่จะตามมาก็คือต้องมี ‘สถานีโดรน’ เพื่อให้มันขึ้นลงอย่างเป็นกิจจะลักษณะ พร้อมทั้งชาร์จไฟเตรียมบินต่อ ปัญหาคือใครจะเป็นคนสร้าง? อันนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาคุยกันในเวลานี้เท่าไร เพราะทุกคนมุ่งแต่จะสร้างโดรนยักษ์ที่บินส่งคนได้ออกมาก่อน อย่างอื่นว่ากันทีหลัง
และต่อมาด้านความปลอดภัย อันนี้ภาครัฐก็น่าจะต้องมีการกำกับดูแลในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมาตรฐานการประกอบโดรนยักษ์ระดับให้คนนั่งได้ มาตรฐานการให้บริการเอาโดนยักษ์มาเป็นแท็กซี่ และอาจรวมไปถึง ‘กฎจราจรทางอากาศ’ เพราะถ้าอุตสาหกรรมนี้เกิดขึ้นจริงๆ น่านฟ้าก็ต้องมีระเบียบใหม่ ไม่งั้นก็ชนกันเละแน่ๆ
สรุปง่ายๆ นี่คือเรื่องที่ ‘ยังอีกไกล’ ในทุกระดับเลย เรียกได้ว่าคงไม่เห็น ‘แท็กซี่โดรน’ กันภายใน 10 ปีนี้แน่ๆ
แต่นั่นแหละ ลำพังแค่เทคโนโลยีพวกนี้มันเป็นไปได้จริงในทางเทคนิคแล้ว ในปัจจุบันก็น่าจะทำให้คนไม่น้อยตื่นเต้น เพราะมันเป็นไปได้แล้วว่าเราน่าจะได้เห็นเมืองที่ ‘มีรถบินไปมา’ แบบในหนังไซไฟในช่วงชีวิตของเรา
อ้างอิง
- IEEE. Following the Money in the Air-Taxi Craze Are eVTOLs the ‘mother of all aerospace bubbles’? https://spectrum.ieee.org/evtol-aircraft