‘ยอมรับผิด’ คุณสมบัติของผู้นำที่ดี ที่บางคนก็ไม่มี จนสั่นคลอนความเชื่อใจ
Highlights
- ผู้คนไม่ได้ต้องการผู้นำที่สมบูรณ์ แต่ต้องการผู้นำที่โปร่งใสเพื่อให้พวกเขาเข้าใจว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่ และการ ‘ยอมรับผิด’ และขอโทษก็เป็นหนึ่งในการสร้างความเชื่อใจมากกว่าทำลาย
- ส่วนการบ่ายเบี่ยงเพื่อปกปิดความผิดพลาดของตัวเอง ยิ่งทำให้ผู้ตามสูญเสียความเชื่อใจในระยะยาว
ทำไมผู้นำหลายคนไม่ชอบ ‘ยอมรับความผิด’ หรือยอมรับตรงๆ ว่า สิ่งที่ตัดสินใจไปก่อนหน้านี้น่ะ พลาดไปแล้ว ขออภัยด้วย
เหตุผลง่ายๆ เลยคือมันเป็นเรื่องยากในการเสียหน้า รวมการฝ่าอีโก้และวาระซ่อนเร้นที่เกิดขึ้นในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้ การเป็นผู้นำต้องแบกรับภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือเสมอว่าทุกการตัดสินใจเกิดขึ้นจากสิ่งที่ ‘คิดมาดี’ แล้วจริงๆ การยอมรับความผิดอาจทำให้ความน่าเชื่อถือที่สร้างมาตกลงฮวบฮาบ ทำให้ผู้นำหลายคนเน้นพฤติกรรม ‘ไม่รู้ ไม่ขอโทษ ไม่อธิบาย’ เป็นเรื่องปกติ
เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นมากโดยเฉพาะกับผู้นำทางการเมือง วัฒนธรรมการปล่อยเบลอไม่ยอมรับความผิดพลาดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจนแทบจะเป็นหลักปฏิบัติ นั่นเป็นเพราะว่าองค์ประกอบทางการเมือง นอกเหนือจากอีโก้ของคนเหล่านั้นรวมไปถึงภาพลักษณ์ที่มีความจำเป็นต้องน่าเชื่อถือมากๆ แล้ว การยอมรับว่านโยบายหรือการตัดสินใจผิดพลาดนั้นส่งผลกระทบต่อคนมหาศาล และยังมีปัจจัยของคนในพรรค ความน่าเชื่อถือเพื่อเลือกตั้งในครั้งต่อๆ ไป หรือการต้องปะทะกับฝ่ายค้านก็เป็นสิ่งที่ช่วยทำให้การ ‘ไม่ยอมรับผิด ไม่ขอโทษ’ ในเวทีการเมืองเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยเพราะกลัวว่าความน่าเชื่อถือจะตกลง
แต่ที่จริงการยอมรับผิดหรือบอกไปตามตรงว่าตัดสินใจพลาด ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ถ้าเราสังเกตมักจะพบว่าคุณสมบัติของผู้นำที่ดีตามคำแนะนำหรือในอุดมคติมักจะมี ‘ยอมรับผิด’ เป็นข้อแรกๆ เสมอ นั่นเพราะปัจจุบันพบว่าเราต้องการผู้นำที่มีความกล้าหาญและจริงใจกับมากพอที่จะยอมรับผิด และขอโทษจากใจจริง
ความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติที่ผู้นำทุกคนต้องเจอ แต่พวกเขารับมือกับมันยังไงเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่าในสายตาผู้ตาม และหนึ่งในวิธีการที่คนคาดหวังก็คือการ ‘ยอมรับผิด’ นี่ล่ะ จากรายงานของ Forbes ระบุว่าการที่ผู้นำยอมรับผิดไม่ได้ทำให้เขาดูเก่งน้อยลงหรือไม่น่าเชื่อถืออย่างที่ผู้นำหลายคนคิด การยอมรับผิดค่อนข้างทำงานในทิศทางบวก
อันดับแรกคือทำให้ผู้ตามรู้สึกเคารพ เพราะตามปกติผู้คนไม่ได้คาดหวังผู้นำที่สมบูรณ์แบบแต่ต้องการผู้นำที่ซื่อสัตย์ต่อการกระทำของตัวเอง ผู้นำที่น่านับถือจะรับความเสี่ยงจากการตัดสินใจได้ ถ้าหากออกมารับผิดแล้วก็มีแนวโน้มที่จะสร้างความเข้าใจอย่างจริงใจต่อผู้คนแถมการพูดอย่างตรงไปตรงมาจะยิ่งสร้าง ‘ทีม’ ที่ดีด้วย ที่สำคัญคือสร้างวัฒนธรรมที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือได้ ว่าไม่ได้มีการปกปิดเพื่อปกป้องตัวเองอยู่
ส่วนการไม่ยอมรับความผิดและทู่ซี้ต่อไปจะได้ผลตรงกันข้าม จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร European Journal of Social Psychology เมื่อปี 2012 ระบุว่าการไม่ยอมรับผิดไม่ขอโทษจะเป็นการเพิ่มความรู้สึกนับถือตัวเองของผู้นำที่ทำพลาด เพราะการขอโทษหรือรับผิดทำให้รู้สึกว่าอ่อนแอและไม่ปลอดภัย แต่ปัญหาของเรื่องนี้เกิดขึ้นในระยะยาว เพราะการไม่ยอมรับผิดส่งผลต่อความเชื่อใจของผู้ตามเมื่อเวลาผ่านไป องค์กร (แน่นอนว่าไปจนถึงประชาชน) จะรู้สึกไม่เชื่อใจ ไม่ไว้วางใจ ในเวลาต่อมาเพราะรู้สึกว่าผู้นำที่ไม่ยอมรับความผิดที่เห็นอยู่ทนโท่นั้นขาดความจริงใจแบบสุดๆ
ดังนั้นเอาเข้าจริงผู้คนไม่ได้ต้องการผู้นำที่สมบูรณ์ แต่ต้องการผู้นำที่โปร่งใสเพื่อให้พวกเขาเข้าใจว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่ ซึ่งการยอมรับความผิดก็เป็นหนึ่งในกระบวนการที่สร้างความจริงใจและบรรยากาศที่โปร่งใสได้อย่างดี แถมสร้างภาพลักษณ์ที่จริงใจและเชื่อถือได้ให้แข็งแรงขึ้นด้วยซ้ำไป เพราะการบ่ายเบี่ยงทู่ซี้เพื่อปกปิดความผิดพลาดของตัวเอง ยิ่งทำให้ผู้ตามสูญเสียความเชื่อใจในระยะยาว
อ้างอิง
- Forbes. 4 Reasons Great Leaders Admit Their Mistakes. https://bit.ly/36gYOAO
- Thrive global. Leaders, Can You Admit When You’ re Wrong?. https://bit.ly/2TBaqMo
- Leadership excellence. How Good Leaders Handle Mistakes. https://bit.ly/3hjGZYq
- CBC. Why politicians don’t like admitting mistakes. https://bit.ly/3qJHFJC