เรื่องราว 6,000 ปี ของกัญชา (6,000 Years of Cannabis History) By InfoStory
จากวันที่ประเทศไทยได้ปลดล็อคการใช้งานของกัญชา–กัญชงอย่างเต็มรูปแบบ
พวกเรา InfoStory ก็เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายท่านคงได้ใช้งานกันเยอะแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของผลิตภัณฑ์น้ำมันกัญชา เพื่อใช้ให้ผ่อนคลายและหลับสบาย
หรือ จะนำส่วนใบกัญชามาผัดกับอาหารต่าง ๆ เพื่อเสริมความอร่อย
หลาย ๆ ท่าน ก็อาจเริ่มที่จะปลูกต้นกัญชาอย่างจริงจัง
(โดยไม่ต้องหลบซ่อนกันแล้ว แต่อย่าลืมไปลงทะเบียนกันด้วยนะคร้าบ)
ถ้าอย่างนั้นในบทความอินโฟกราฟิกอันนี้
พวกเราขอพาเพื่อน ๆ ไปส่องกับเรื่องราวความเป็นมาของพืชกัญชา พืชโบราณที่มีอายุมาตั้งแต่ในยุคเก่าของโลก กับ “เรื่องราว 6,000 ปี ของกัญชา”
ขอเชิญเพื่อน ๆ รับชมรับอ่านแบบสบายสมองกันได้เลย !
มาเริ่มกันที่ จุดเริ่มต้นใน “ยุคเก่า” กันก่อนดีกว่า !
(4,000 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 400)
4,700 ปีก่อนคริสตกาล – หรือย้อนกลับไปเมื่อ 6,000 ปีก่อน ที่ว่ากันว่าเป็นเรื่องราวต้นกำเนิดของการค้นพบกัญชา
(*หากว่าถึงเรื่องต้นกำเนิดแล้ว อาจต้องย้อนไปเกือบ 10,000 ปีก่อนอีกนะ)
ว่ากันว่า กัญชาถูกค้นพบโดยชาวจีนในยุคสมัยของจักรพรรดิ์เช็นนึง (Shen Nung) ซึ่งเป็นหนึ่งในจักรพรรดิ์ที่มีสมยานามว่า “God of farming”
ในขณะนั้นได้มีการบันทึกเอาไว้ว่า กัญชา สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้มากถึง 100 โรค นับว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคเลยทีเดียว
4,000 ปีก่อนคริสตกาล – กัญชาถูกจัดเป็น 1 ใน 5 ธัญพืชอุดมคุณค่าของจีน เคียงคู่กับ ข้าวฟ่าง ข้าวเจ้า ถั่วเหลืองและข้าวสาลี
2,737 ปีก่อนคริสตกาล – ชาวจีนเริ่มคิดค้นตำรับยาที่บดจากกัญชานำมารักษาโรครูมาตอยด์และไข้มาลาเรีย
2,000 ปีก่อนคริสตกาล – ชาวไซเธียน(บรรพบุรุษของชาวอิหร่านและกรีกโบราณ)และบรรพบุรุษของชาวอินเดีย ได้นำกัญชามาใช้งานทางศาสนา เราเข้าใจว่าพวกเขาจะนำมาใช้ในการฝังศพ
ในช่วงนี้ เขายังได้พบบันทึกทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับกัญชาที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่ปรากฎใน “อายุรเวท” แพทย์แผนโบราณอินเดีย ซึ่งในปัจจุบันนี้เอง การแพทย์แผนอายุรเวท ก็ยังมีการใช้กัญชาอยู่เหมือนในอดีต
1,550 ปีก่อนคริสตกาล – กัญชาถูกบันทึกว่าเป็นหนึ่งในพืชที่ใช้รักษาทางการแพทย์ บนกระดาษปาปิรุส ซึ่งเป็นกระดาษแผ่นแรกของโลก ซึ่งถูกบันทึกโดยชาวอียิปต์โบราณ
1,400 ปีก่อนคริสตกาล – กัญชาถูกจัดเป็นหนึ่งในพืชศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดู
1,213 ปีก่อนคริสตกาล – มีการค้นพบว่ากัญชาถูกฝังในมัมมี่ของฟาโรห์แรเมซีสที่ 2
เรื่องราวตรงนี้ ก็จะเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาและโลกหลังความตาย เฉกเช่นเดียวกับชาวไซเธียนที่มีความเชื่ออันนี้ เมื่อ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล
1,000 ปีก่อนคริสตกาล – กำเนิดเครื่องดื่มของชาวอินเดียสมัยโบราณ “บัง” (Bhang) เป็นเครื่องดื่มที่นำกัญชามาผสมกับนมสด ช่วยรักษาโรคไข้หวัดและช่วยให้นอนหลับง่าย
ว่ากันว่า “บัง” ยังเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่พระศิวะโปรดปรานอีกด้วยนะ
ค.ศ. 207 – หมอฮูโต๋ว (Hua T’o) ศัลยแพทย์ชาวจีนทดลองใช้งานกัญชาผสมกับไวน์ เพื่อให้ผู้ป่วยดื่มก่อนการผ่าตัด (เราเลยนึกภาพว่าคล้าย ๆ กับยาสลบหรือฉีดยาที่ทำให้เมา แล้วคนไข้จะได้ไม่รู้สึกเจ็บปวดขณะผ่าตัด)
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
มาต่อกันที่ยุคสมัยกลาง (ค.ศ. 400 – 1600)
ค.ศ. 1025 – พบในการบันทึกคุณประโยชน์ของกัญชาในตำราแพทย์โบราณของชาวเปอร์เซีย “ Canon of Medicine” ของแพทย์ยอดนักปราชญ์ชาวเปอร์เซีย “Avicenna” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตำราแพทย์ที่ยิ่งใหญ่เล่มหนึ่งของโลก
โดยในตำราแพทย์เล่มนี้ จะใช้บันทึกกายวิภาคของมนุษย์และวิกฤตการณ์แผ่ระบาดโรคในอาณาจักรต่าง ๆ
สำหรับกัญชานั้น แพทย์ Avicenna ได้บันทึกว่าสามารถช่วยรักษาอาการเลือดคั่ง โรคเก๊าท์ แผลติดเชื้อ
ค.ศ. 1300 – พ่อค้าชาวอาหรับนำกัญชาไปทำการค้าในทวีปแอฟริกาเป็นครั้งแรก
ต้องบอกเริ่มตั้งแต่สมัยนี้เป็นต้นไปเนี่ย เหล่าพ่อค้าชาวตะวันออกกลางและยุโรป ต่างหาโอกาสการทำกำไรจากการค้าขายต้นกัญชา อาจจะไม่ต่างอะไรไปกับการค้าขายผ้าฝ้ายผ้าไหมในยุคสมัยใหม่กันเลยทีเดียว
โดยเฉพาะเหล่าพ่อค้าชาวตะวันออกกลาง ที่ได้ขยายตลาดนำต้นกัญชาเข้าไปปลูกและขายในทวีปแอฟริกา
และด้วยสภาพภูมิอากาศของแอฟริกาเนี่ย ก็เหมาะกับการปลูกต้นกัญชาเอาเสียมาก ๆ เลยละ
อีกจุดหนึ่งที่พ่อค้าชาวตะวันออกกลาง ได้มุ่งเน้นการขายต้นกัญชาไปยังทวีปแอฟริกาเนี่ย
ก็เพราะว่า ประชากรในแถบนั้นติดโรคระบาดกันค่อนข้างเยอะ (อาทิเช่น ไข้มาลาเรีย ไข้เลือดออก โรคบิด)
ซึ่งเจ้ากัญชาเนี่ย ก็เลยเป็นสมุนไพรที่ตอบโจทย์ อย่างดีเยี่ยมเลย !
(ฟันกำไรเหนาะ ๆ ด้วย)
ค.ศ. 1500 – ยุคทองของพ่อค้ากัญชายังคงดำเนินต่อไป
โดยคราวนี้ ก็ถึงคิวของ นักล่าอาณานิคมชาวสเปน ที่ได้นำกัญชาไปปลูกในทวีปอเมริกาเป็นครั้งแรก
หลังสิ้นสุดยุคกลางไปหรือในช่วง ค.ศ. 1500-1600 ไปแล้ว
อาจเรียกได้ว่าผู้คนแทบจะทั่วโลก ได้รู้จักกัญชา และนำมาใช้งานกันในชีวิตประจำวัน
อย่างไรก็ดี… การรู้จักกัญชานั้น อาจเป็นเพียงแค่ผิวเผิน
เพราะในขณะนั้นก็ยังไม่ได้มีนักวิทยาศาสตร์หรือแพทย์คนไหน ที่มาทำการวิจัยว่ากัญชานั้น มีอันตรายหรือมีขอบเขตในการใช้งานอย่างไร เลยทำให้ผู้คนในยุคกลางมองว่ากัญชาเป็นยาวิเศษ รักษาได้ทุกโรค รวมถึงการบำบัดโรคซึมเศร้า บำบัดทุกข์โศกได้อีกด้วย
(ทำให้เรานึกถึงในยุคแรก ๆ ที่เมล็ดกาแฟกำลังเริ่มบูม แล้วชาวตะวันออกกลางกับยุโรปก็มองว่า กาแฟเป็นยาวิเศษ ทำให้ตื่นตัว… จนไปถึงการห้ามดื่มกาแฟของประเทศในตะวันออกกลาง เพราะอ้างว่าเป็นยาเสพติด กรณีแบบนี้ค่อนข้างมีความคล้ายกันมากเลยเนอะ)
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
ปิดท้ายกันด้วย ยุคสมัยใหม่ (ค.ศ. 1600 – ปัจจุบัน)
ค.ศ. 1798 – จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ได้นำกัญชาติดตัวจากอียิปต์ กลับมายังฝรั่งเศสเป็นครั้งแรก ต้องบอกว่า ในเวลาต่อมาเนี่ย นโปเลียนที่ 1 ก็ได้เสพติดกัญชา อย่างมากเลยละ เพราะว่ากัญชาทำให้เขาทนต่อความเจ็บปวดและทำให้เขาหลุดจากภวังค์แห่งความเครียดได้ดี
(จะเรียกว่าหนีความจริงก็ไม่เชิงนะ เพราะถ้าอ่านเรื่องราวการทำศึกครั้งท้าย ๆ ของนโปเลียนเนี่ย ก็เรียกได้ว่า ศัตรูรอบทิศ แต่ดันไร้มิตรรอบด้าน เลยจริง ๆ กัญชาเลยเป็นยาวิเศษในทันที)
ค.ศ. 1839 – แพทย์ชาวอังกฤษ “William O’Shaughnessy” ได้คิดค้นตำราการปรุงยาจากกัญชาในแพทย์แบบตะวันตก
เรื่องของเรื่องก็คือ นายแพทย์ William O’Shaughnessy ได้ไปทำการวิจัยและใช้ชีวิตในประเทศอินเดีย ซึ่งนั่นทำให้เขาค้นพบว่าชาวอินเดียใช้กัญชารักษาโรคกันอย่างแพร่หลายและได้ผลดีมาก ๆ
เขาจึงได้ลองนำกัญชากลับมารักษาคนไข้ปวดข้อและโรคลมชักในประเทศอังกฤษ
รวมไปถึงการนำมาทดลองใช้กับคนไข้ที่มีอาการชัก (convulsions) ในวัยเด็กอีกด้วยนะ
แน่นอนว่า การรักษาด้วยกัญชา มันก็ค่อนข้างไปได้ดี จนกระทั่งนายแพทย์ William สามารถ เขียนตำราแพทย์สมัยใหม่ที่มีชื่อว่า “วิธีการปรุงยาจากกัญชา” โดยใช้กัญชาเพียง 10 มิลลิกรัมวันละ 3 ครั้ง
จากตำราของนายแพทย์ William ก็เรียกได้ว่า เป็นใบเบิกทางเรียกความมั่นใจให้กับชาวยุโรป จนไปถึงฝั่งของอเมริกาเลยทีเดียว
ซึ่งหลังจากนี้ ก็เริ่มมีนักวิทยาศาสตร์เคมีและการแพทย์ ได้เริ่มเจาะลึกถึงสารสกัดต่าง ๆ ในพืชกัญชากันอย่างจริงจัง กันเสียที
ค.ศ. 1898 – นักเคมีชาวอิสราเอล (Dunstan และ Henry) ได้ค้นพบกลุ่มสารแคนนาบินอยด์
Cannabinol (CBN – C21H26O2) ในกัญชา
หรือที่เพื่อน ๆ หลายคนอาจจะรู้จักในชื่อของ กลุ่มสาร THC และ CBD เนอะ
(แต่ว่าในสมัยนั้น นักเคมีทั้ง 2 ท่านยังไม่ได้จำแนกย่อยออกมา)
ค.ศ. 1900 – กัญชา กัญชา เป็นยาวิเศษ !
นายแพทย์เจ รัสเชล เรโนลส์ แพทย์ประจำราชสำนักอังกฤษ ได้ตีพิมพ์ในวารสารแลนเซต เกี่ยวกับประสบการณ์การใช้กัญชารักษาโรคในช่วง 30 ปีของตัวเอง
โดยได้บรรยายการใช้กัญชารักษาโรคต่างๆในรูปแบบทิงเจอร์ขนาด 15 – 20 มิลลิกรัม และสามารถช่วยรักษาอาการทางจิตใจเหล่านี้ได้ดีมาก
อาทิเช่น ความผิดปกติทางจิตใจ ได้แก่อาการนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ภาวะซึมเศร้าโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ความเจ็บปวดและอาการชาทุกชนิด
อื้อหือ… เกริ่นมาแบบนี้ ก็ค่อนข้างชัดเจนเลยว่า
ในช่วงเวลานี้เนี่ย กัญชายังคงเป็นยาวิเศษของคนยุคใหม่ ซึ่งใช้ในทางมอมเมา เป็นยาเสพติด
(ซึ่งหากดูปริมาณการใช้งานแล้ว อาจพบว่ากลุ่มคนทั่วไปนำมาใช้เสพสูบ เพื่อความสุข มากกว่าจำนวนของแพทย์ที่นำกัญชามาใช้รักษาคนไข้ เสียอีกนะ)
แต่จุดที่สำคัญคือ “ความเข้าถึงง่าย” ของพืชกัญชา ที่เรียกได้ว่าหาซื้อได้ง่ายในทุกประเทศ…
เรื่องราวการเสพติดจนมอมเมาตรงนี้ จึงทำให้ในเวลาต่อมาเนี่ย หลาย ๆ ประเทศเริ่มออกกฎหมายการควบคุมการปลูก แปรรูป และเสพกัญชา
ค.ศ. 1900 – 1914 – สหรัฐอเมริกา ประกาศให้มีการจำหน่ายกัญชาได้แค่ในโรงพยาบาลเท่านั้น ซึ่งจะเรียกว่า “Medical Cannabis”
อย่างไรก็ดี… วัยรุ่นอเมริกันก็ยังเข้าถึงและเสพกัญชากันได้ง่ายอยู่เหมือนเดิม
นั่นจึงทำให้ใน ค.ศ. 1914 สหรัฐอเมริกาได้ออกกฎ “Harrison Act” (หรือพระราชบัญญัติภาษียาเสพติดแฮร์ริสัน) เพื่อควบคุมและเก็บภาษีการผลิตนำเข้าและจัดจำหน่ายสารเสพติด เช่น ฝิ่น โคเคนและกัญชา
ค.ศ. 1936 – ดูเหมือนว่า Harrison Act จะทำหน้าที่ได้ไม่ค่อยดีเท่าไร
เพราะยังมีคดีฆาตกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากผู้คนที่เสพสารเสพติดเกินขนาดอยู่ดี
นั่นจึงส่งผลให้…
ค.ศ. 1937 – สหรัฐอเมริกา ประกาศว่าควบคุมการใช้งานกัญชา ประกาศแบนกัญชา ว่าเป็นยาเสพติดให้โทษ โดยได้ออกบทบัญญัติว่าด้วยการเก็บภาษีกัญชา “Marihuana Tax Act” ที่ระบุให้การซื้อ–ขาย–แลกเปลี่ยนกัญชา ต้องเสียภาษี และถือเป็นกฎหมายของรัฐบาลสหพันธ์ฉบับแรกที่ระบุห้ามครอบครองและขายกัญชา
อ่านมาถึงตรงนี้ เราก็อาจจะเริ่มเห็นแต่มุมมองที่แย่ ๆ ของกัญชา
อย่างไรก็ดี… เพื่อน ๆ อย่าลืมว่า พืชกัญชา ก็ยังเป็นพืชที่มีประโยชน์ทางการแพทย์ มาตั้งแต่สมัยอดีต (หรือตอนต้นของบทความ)
การห้ามผู้คนไม่ให้ใกล้ชิดหรือทำความรู้จักกัญชาเลย… อาจไม่ใช้วิธีที่ดีเท่าไรนัก
(พวกเราคิดว่า เหมือนยิ่งห้ามก็ยิ่งยุ)
นั่นจึงทำให้ ในเวลาต่อมา…
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการวิจัยถึงกลไกทางเคมีของกัญชา เพื่อที่จะได้หาขอบเขตและขีดจำกัดของการใช้งานกันมากขึ้น
ค.ศ. 1964 – ค้นพบสารเมา “THC” ในกัญชา โดยนักเคมีชาวอิสราเอล “Dr. Raphael Mechoulam”
ค.ศ. 1988 – ค้นพบสาร “CBD” ในกัญชา โดย “Dr. Raphael Mechoulam” (ท่านนี้ท่านเดิม)
ค.ศ. 2000 – ปัจจุบัน
จากการค้นพบสาร THC และ CBD ตรงนี้ จึงทำให้หลาย ๆ ประเทศเริ่มทำความเข้าใจและปลดล็อคการใช้งานกัญชาได้มากขึ้น
อาทิเช่น อนุญาตให้มีการจำหน่ายกัญชา หรือ สารสกัดจากกัญชา ที่มีปริมาณสารเมา “THC” ไม่เกิน 0.2% ของน้ำหนัก
โดยประเทศที่เปิดให้มีการนำเข้าและใช้งานกัญชาอย่างเสรี ได้แก่ แคนาดา แอฟริกาใต้ อุรกวัย
ก็คือ ไม่ได้กำหนดว่าต้องมีปริมาณ THC เท่าไร มีร้านสะดวกซื้อ ที่ขายใบกัญชาโดยทั่วไป (โดยผู้ผลิต/จัดจำหน่าย ต้องขึ้นทะเบียนกับรัฐบาลก่อนนะ)
หรือหลาย ๆ ประเทศที่เริ่มมีการปลดล็อคและผ่อนปรนพืชกัญชา อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี อังกฤษ หรือ ไทย เป็นต้น
เห็นแบบนี้ ประเทศที่เจ้าระเบียบในการควบคุมอย่างจีน ก็เตรียมปลดล็อคการใช้งานกัญชาในเชิงเศรษฐกิจมากขึ้นด้วยนะ
เท่าที่ทราบมาตอนนี้คือ จีนเริ่มเปิดให้ใช้งานกัญชา–กัญชง ในเครื่องสำอางค์
หรือนำเปลือก–ลำต้น ไปใช้ทำเส้นไยเครื่องนุ่งห่ม
(แต่ยังคงไม่อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้อยู่นะ)
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
จากเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดเกือบ 6,000 ปีของกัญชา ก็คงพอจะทำให้เพื่อน ๆ ได้มีเวลาทำความรู้จักกับกัญชากันมากขึ้น
โดยเฉพาะในมุมมองของการนำมารักษา/บำบัดทางการแพทย์
ซึ่งทำให้เราเห็นว่า จริง ๆ แล้ว กัญชา–กัญชง ไม่ใช่พืชที่มีแต่ชื่อเสียงแย่ ๆ หรือมีแต่อันตรายอย่างที่เราเคยเข้าใจกันมา
(อาจด้วยกฎหมาย วัฒนธรรม หรืออะไรก็แล้วแต่เนอะ ที่มันส่งผลให้เรามองเห็นแต่มุมมองแบบนั้น)
ทั้งนี้ทั้งนั้น หากเรานำกัญชามาใช้ในทางที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ หรือใช้เพื่อเสพเน้นเมาเน้น “get high” เนี่ย ก็อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเราในระยะยาวได้
(หรืออย่างแย่ที่สุดก็คือเสพเกินขนาด ซึ่งอาจส่งผลอันตรายต่อชีวิตได้ในทันทีได้)
วันนี้พวกเรา InfoStory ขอตัวลาไปก่อน
ขอบพระคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามอ่านกันจนจบบทความที่สุดจะย๊าวยาว
พวกเราขอให้เพื่อน ๆ ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับขนาดและการนำมาใช้ของกัญชา เพื่อความปลอดภัยในการบริโภคกันด้วยนะคร้าบผม ^___^
แหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม