2 Min

เวิร์กจริง! ผลสำรวจสหรัฐฯ ชี้ เหล่าพนักงานทำงาน ‘ปริมาณเท่าเดิม’ เสร็จภายใน 4 วันแทนที่ 5 วันได้

2 Min
495 Views
17 Nov 2023

ปัจจุบันแนวคิดใหม่เรื่องการทำงาน 4 วัน หยุด 3 วัน ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทหลายแห่งทั่วโลกเริ่มทยอยนำแนวคิดนี้ไปปรับทดลองใช้ เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

โดยไม่นานมานี้ จากผลสำรวจพนักงานของ Fiverr แหล่งหางานออนไลน์สำหรับฟรีแลนซ์ชี้ว่า พนักงานในสหรัฐอเมริกา กว่า 75 เปอร์เซ็นต์ กล่าวว่า พวกเขาสามารถจัดการงานปริมาณเท่าเดิม ให้เสร็จภายใน 4 วันแทนที่จะเป็น 5 วัน (วันจันทร์-ศุกร์) แบบที่เป็นอยู่

ทาง มิคอล มิลเลอร์ ลีวาย (Michal Miller Levi) กรรมการฝ่ายการวิจัยตลาดและข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคของ Fiverr อธิบายว่า แนวคิดการทำงาน 4 วันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะพนักงานขี้เกียจ แต่เกิดจากการให้คุณค่าการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป “พนักงานไม่อยากถูกประเมินประสิทธิภาพการทำงานจากจำนวนเวลาที่ทำงานต่อสัปดาห์ หรือจำนวนเวลาที่เข้าออฟฟิศ ทว่าต้องการให้ประเมินด้วยผลลัพธ์จากการทำงานมากกว่า”

โดยเจเนอเรชัน Y ที่คิดเป็นสัดส่วนกว่า 35 เปอร์เซ็นต์ของตลาดแรงงานก็เห็นด้วย พร้อมกับสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวถึง 87 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผลสำรวจนี้ นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ต้องการความยืดหยุ่นในตารางการทำงานมากขึ้น ขณะเดียวกันพวกเขาก็ชอบมีปฏิสัมพันธ์ต่อหน้ามากกว่าการทำงานจากระยะไกล

แนวคิดการทำงานที่ว่าในหมู่คนรุ่นใหม่ ส่งผลต่อการตัดสินใจและการเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานอีกมากมาย เพราะมีผลสำรวจพบว่าพนักงานรุ่นใหม่ ยอมสละสวัสดิการ ยอมลดเงินเดือน หรือผลตอบแทนอื่นๆ เพื่อแลกกับการได้ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ กระทั่งพวกเขาใช้เป็นปัจจัยหนึ่งสำหรับพิจารณาในการลาออก หรือเข้าสมัครงานที่บริษัทแห่งใหม่ด้วย

ทว่าไม่ใช่เรื่องแปลกนัก เพราะกลุ่มคนรุ่นใหม่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางเหตุการณ์สำคัญๆ เช่น วิกฤตโรคระบาด ส่งผลให้เส้นแบ่งระหว่างสถานที่ทำงาน วิธีการทำงาน และจำนวนเวลาทำงานเลือนรางไป อีกทั้งพวกเขายังให้ความสำคัญระหว่างสมดุล ‘ชีวิตส่วนตัว’ กับ ‘ชีวิตการทำงาน’ มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม แนวคิดการทำงานข้างต้นอาจจะได้รับความนิยมในประเทศแถบยุโรป แต่ถ้าดูข้อมูลในสหรัฐฯ จะพบว่าสิ่งที่พนักงานอยากให้เป็น กับสิ่งที่นายจ้างอยากให้เป็น ยังคงแตกต่างกันอยู่ และคงต้องติดตามผลลัพธ์ในระยะยาวต่อไป เนื่องจากวิถีการทำงานเช่นนี้มีส่วนช่วยลดความเครียดและภาวะหมดไฟของเหล่าคนทำงานได้ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้นำ และความเหมาะสมของแต่ละองค์กรด้วย

อ้างอิง