พูดคุยกับสายด่วน 1663 ว่าด้วยโควิด-19 ทำให้คนเข้าไม่ถึงการทำแท้งปลอดภัย

3 Min
380 Views
16 Sep 2020
“ไม่มีใครตั้งใจท้อง เพื่อทำแท้ง”
 
นี่คือหนึ่งในถ้อยคำรณรงค์การทำแท้งถูกกฎหมายของกลุ่ม #ผู้หญิงปลดแอก เพื่อเรียกร้องให้การยุติการตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่ “เลือกได้” อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
 
เนื่องจากในปัจจุบันการยุติการตั้งครรภ์เป็นความผิด ยกเว้นจะเป็นไปตามเงื่อนไขของมาตรา 305 ที่ระบุว่า ผู้ตั้งครรภ์จากการถูกกระทำชำเรา มีปัญหาสุขภาพต่อตัวผู้ตั้งครรภ์หรือเด็กในท้อง หรือผู้ตั้งครรภ์มีอายุน้อยกว่า 15 ปี
 
ในกรณีนี้เราจะขอไม่พูดถึงเรื่องศีลธรรม หรือว่าบุตรในครรภ์เป็นบุคคลตามกฎหมายหรือไม่
 
แต่จะพูดถึงในมิติผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมและเข้าไม่ถึงการทำแท้งในช่วงโควิด-19 แพร่ระบาดและมีการล็อกดาวน์ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ซึ่งสถิติสายด่วนมูลนิธิท้องไม่พร้อมระบุว่า มีจำนวนผู้ต้องการใช้บริการมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว แต่การเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์เป็นไปอย่างยากลำบาก
 
The Attentionได้ต่อสายพูดคุยกับเจ้าหน้าที่สายด่วน 1663 หรือ “มูลนิธิท้องไม่พร้อม” พบว่าในช่วงเดือนที่มีการล็อกดาวน์มีคนโทรเข้ามาปรึกษาสายด่วน 8,724 คน
 
ในจำนวนนั้นมีผู้ตั้งครรภ์แล้ว 6,986 ราย และตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ 5,155 ราย คิดเป็น 89% ตัดสินใจตั้งครรภ์ต่อ 5% และยังไม่ตัดสินใจ 4%
 
แม้ว่าจำนวนผู้ติดต่อมูลนิธิเพื่อปรึกษาและรับบริการจะไม่ได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนมากนัก แต่เมื่อเกิดการล็อกดาวน์ พบปัญหาผู้ต้องการเข้ารับบริการจำนวนมาก แต่เข้าไม่ถึงการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย เนื่องจากยังไม่มีการให้บริการอย่างทั่วถึงในทุกพื้นที่
 
ปัจจุบันเครือข่ายอาสาเพื่อยุติการตั้งครรภ์ปลอดภัยหรือ RSA (Referal System for Safe Abortion) ภายใต้การดูแลของกรมอนามัยมีสถานบริการสุขภาพที่ให้บริการ 142 แห่ง
 
แต่เมื่อเกิดวิกฤตโควิด-19 เหลือเพียง 71 แห่ง และมีหน่วยบริการเพียง 4 แห่งทั่วประเทศไทยที่ให้บริการสำหรับกรณีอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป
 
จากที่สถานบริการมีไม่ครบทุกในทุกจังหวัดอยู่เป็นทุนเดิม เมื่อมีการล็อกดาวน์การใช้บริการต้องเดินทางข้ามจังหวัดซึ่งหลายจังหวัดนั้นไม่สามารถทำได้ ต้องมีการกักตัว 14 วัน
 
ทั้งนี้ แม้ทาง 1663 จะพยายามช่วยประสานงานในการส่งตัวผู้ใช้บริการไปยังสถานที่ให้บริการ แต่เรื่องนี้กลับส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ต้องการยุติการตั้งครรภ์มากพอควร
 
เมื่อบริการยุติการตั้งครรภ์ไม่ทั่วถึง ส่งผลเสียอย่างไร?
 
สิ่งที่น่ากังวลในเวลาต่อมาคือ “การทำแท้งเถื่อน” ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เครื่องมืออุปกรณ์ที่ปลอดภัย และยาที่มีการรับรองจาก อ.ย.
 
การรับบริการยุติการตั้งครรภ์โดยไม่มีแพทย์ควบคุมนั้นเป็นอันตรายต่อผู้ทำแท้ง ในกรณีร้ายแรงอาจมีผลถึงชีวิตได้ หรือหลายๆ กรณี รับยาเถื่อนที่ไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากไม่แท้งแล้วยังส่งผลต่อสุขภาพแม่และเด็กตามมา
 
ปัจจุบันทางมูลนิธิท้องไม่พร้อมพยายามรณรงค์ให้สถานให้บริการยุติการตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่สามารถเข้าถึงได้ในทุกโรงพยาบาล หรืออย่างน้อยควรมีจังหวัดละ 1 แห่ง เพื่อรองรับคนในพื้นที่อย่างทั่วถึง หรือถ้าหากการตั้งสถานบริการในทุกจังหวัดเป็นไปได้ยาก กรมอนามัยก็ต้องการให้มีการผลักดันในระบบเขตอนามัยแทน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
 
“ต้องยอมรับตรงๆ ว่าเรื่องของการยุติการตั้งครรภ์ (ทำแท้ง) ยังเป็นสีเทาๆ สำหรับหมอและทีมพยาบาล บางโรงพยาบาลแพทย์โอเค แต่ว่าทีม เภสัช พยาบาล ไม่โอเค หรือว่าพยาบาลอยากจะทำแต่แพทย์ไม่โอเค ก็ทำไม่ได้ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่โอเค ก็เลยถูกตั้งคำถามว่าทำไมไม่มีทุกจังหวัดนะ ทำไมไม่มีทุกโรงพยาบาล ทัศนคติของผู้ให้บริการก็ยังเป็นปัญหาอยู่เหมือนกัน” เจ้าหน้าที่มูลนิธิท้องไม่พร้อมกล่าว
 
มูลนิธิพยายามผลักดันเรื่องการ “การทำแท้ง = ทางเลือก” และต้องยอมรับว่าทัศนคติของบุคคลรอบข้างมีผลกับจิตใจของผู้ตั้งครรภ์มาก โดยเฉพาะถ้าหากเจอการตำหนิหรือต่อว่าจากเจ้าหน้าที่ รวมไปถึงการโน้มน้าวให้ตั้งครรภ์ต่อ อาจส่งผลให้เกิดความเครียดอย่างมาก เพราะเมื่อไปถึงคลินิกแล้ว ถือว่าผู้ตั้งครรภ์ได้มีการตัดสินใจมาก่อนแล้ว
 
ปัจจุบันเริ่มมีการผลักดันกฎหมายการทำแท้งอย่างถูกกฎหมายให้กว้างขึ้นโดยยกเลิกความผิดในมาตรา 301 ที่ว่าด้วยหญิงใดๆ ที่ทำแท้งนั้นมีความผิดตามกฎหมาย
 
หลายคนอาจเข้าใจว่า การยกเลิกความผิดหมายถึงการเปิดให้ทำแท้งอย่างเสรี แต่ทางมูลนิธิยืนยันว่าในโลกนี้คำว่า “แท้งเสรี” นั้นไม่มีอยู่
 
แต่นี่คือการเปิดโอกาสให้ผู้ตั้งครรภ์ได้เลือกว่าจะยุติหรือท้องต่อได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และหากเลือกที่จะยุติต้องได้รับการดูแลที่ถูกต้องทางการแพทย์และปลอดภัย
 
“เรามีเป้าของเราว่า ถ้าเขาจะท้องต่อ เขาต้องท้องต่ออย่างมีคุณภาพ หมายถึงว่าร่างกายเขาได้รับการบำรุง บำรุงทารกในครรภ์อย่างสมบูรณ์ ใจเขาก็ต้องพร้อม ไม่ใช่ว่าลูกแข็งแรง แต่แม่เศร้าอยู่ตลอดเวลา แบกความเครียดไว้กับตัว ถ้าเขาไม่พร้อมแบบนี้ การยุติการตั้งครรภ์ก็อาจเป็นทางเลือกสำหรับเขา”
 
โควิด-19 อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามองเห็นปัญหาเกี่ยวกับการเข้าไม่ถึงบริการยุติการตั้งครรภ์ในช่วงที่เกิดปัญหาโรคระบาด แม้ว่าปัจจุบันทางมูลนิธิท้องไม่พร้อมและสายด่วนจะกลับมาให้บริการได้ตามปกติ แต่หลังจากพบกรณีผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มเติมก็อาจส่งผลให้เกิดปัญหาการเข้าถึงอีกครั้ง
 
ทางมูลนิธิระบุว่า ปัจจุบันมีการปรับระบบเพิ่มเติม แต่หวังว่าในอนาคตจะสามารถผลักดันให้คลินิกยุติการตั้งครรภ์ถูกกฎหมายเข้าถึงได้ทั่วถึงกว่าในปัจจุบัน