ไม่ใช่อิจฉาแต่ว่ากลัวจะเผลอไปบอกความในใจ…

1.

“จริงๆแค่อยากรู้ ว่าเธอน่ะคิดเหมือนฉันไหม?”

สำหรับเรามันเป็นเรื่องที่ Love นำ แล้ว Lost ตาม มันอาจจะเป็นแค่ความอ่อนไหวของวัยรุ่น หรือเป็นแค่เรื่องขำๆที่ผ่านมานานจนใครบางคนลืมไปแล้วก็ได้ ถ้าวันนึงเธอได้กลับมาอ่าน…แล้วบังเอิญรู้ว่าเป็นเราที่เขียนอยู่ ยิ้มให้ก็พอ…

ช่วง ม.ปลาย เป็นช่วงที่เราไม่ตั้งใจเรียนและออกนอกลู่นอกทางแบบสุดๆ ตามประสาวัยรุ่นที่ใช้ไม่ได้คนนึง เหตุปัจจัยมันเกิดหลายอย่างในเวลานั้น

จำได้ว่าช่วง ม.5 ไปโรงเรียนนับครั้งได้ในเทอมนึง ย้อนมองกลับไปมันไม่ใช่เพราะใครเลย เพราะตัวเราเองล้วนๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เหอะ กลับมีคนคนนึงทำให้เราอยากเป็นคนที่ดีขึ้น…

2.

เราไม่เคยรู้จักกัน ทั้งๆที่ ม.ต้น เราก็เรียนที่เดียวกัน เราคิดว่าเธอเป็นเด็กใหม่ที่ย้ายเข้ามา

ครั้งแรกที่เจอเราสวนกันบนอาคารช่วงเปลี่ยนคาบเรียน มันรู้สึกแปลกๆแบบบอกไม่ถูก รู้แค่ว่าความรู้สึกที่พุ่งเข้ามาอย่างแรงกล้า…คือโคตรอยากรู้จัก แต่มันจะแปลกกว่าถ้าพุ่งเข้าไปหาเธอแบบนั้น เรื่องตัดจบตรงที่เราเดินผ่านกันเงียบๆ

จับพลัดจับผลูได้ไงไม่รู้ที่ใน Facebook มันขึ้นเธอคนนั้นในรายการแนะนำเพื่อน เรากดเพิ่มไปแบบไม่ลังเล ใช้เวลาข้ามวันเธอรับเพื่อนเรา เราคิดนานมากเรื่องการเปิดบทสนทนา แต่เราก็ไม่ลังเลที่จะทักไป เธอตอบกลับและคุยกับเราดีมาก ยิ่งทำให้เรารู้สึกดี

เพื่อนร่วมชั้นหลายๆคนรู้ว่าเราเป็นคนที่แย่แค่ไหนในเรื่องการเรียนและข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วในระดับชั้นเดียวกัน แต่เธอดูไม่ได้สนใจหรืออาจจะไม่รู้เรื่องนั้น แต่ไม่นานเธอก็เป็นแรงจูงให้เราอยากไปโรงเรียนทุกวัน แค่เดินผ่านแล้วเจอกันก็ยังดี…

จนเราได้เบอร์โทรศัพท์ของเธอมา ช่วงนั้นโปรโทรฟรีในช่วงเวลาเป็นอะไรที่ฮิตมากที่สุดในหมู่วัยเรา วันที่เรากลับมาบ้านหรือไม่ได้ออกไปไหนช่วงกลางคืน เราก็จะโทรหาเธอตลอด เธอไม่รังเกียจและคุยกับเราได้เป็นเวลานาน เป็นแบบนี้อยู่หลายคืน ความรู้สึกตอนนั้นมันชัดแล้วว่าเราโคตรจะชอบเธอเลย

แต่เธอคงจะไม่…

ทุกคืนที่เราคุยกัน เธอชอบเล่นเปียโนให้เราฟังสองเพลง เธอรู้ว่าเราเล่นดนตรีเหมือนเป็นโลโก้ แต่เราไม่รู้ว่าเธอก็เล่นเป็นเหมือนกัน สองเพลงเก่งของเธอ เป็นสองเพลงที่เรานึกถึงหรือได้ยินที่ไหนก็อบอุ่นในความรู้สึกตลอดเวลา…

“ได้แต่ตั้งคำถาม…แต่ไม่กล้าถามเธอสักครั้ง

ได้แต่ตั้งความหวังข้างในหัวใจ…”

เราฮัมมันในใจเวลาได้ยินเสียงเธอกดคีย์ด้วยความตั้งใจ

กับอีกเพลง…

“ผิดก็ตรงที่เผลอใจ…ไปรักเธอ

ผิดแค่คนที่รักเธอ…เขารักเธอก่อนนะ”

เสียงเมโลดี้ของคีย์เพลงคำถามกับเพลงไม่ใช่อิจฉาของ FFK ยังดังก้องอยู่ในใจทุกครั้งเวลานึกถึง

นอกจากเพลงที่เธอมอบให้ เราก็แลกเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่าง เพื่อทำความรู้จักกันมากขึ้น ความฝันในอนาคต จบไปอยากเรียนอะไรต่อ ตอนเธอบอกว่า

“อยากเรียนการบิน ที่ ม.กรุงเทพ”

โห…การบิน เรารู้สึกตกใจมาก แต่เราก็เป็นกำลังใจให้ เพราะคิดว่าคนเก่งๆแบบเธอทำได้แน่นอน

3.

โรงเรียนของเรานักศึกษาวิชาทหารเขาจะไปเรียนกันทุกวันพุธ โรงเรียนจะเหลือผู้ชายไม่เยอะในระดับชั้น ม.ปลาย

เราไม่เคยโทรหาหรือส่งข้อความนัดกันว่าจะกลับด้วยกันหลังเลิกเรียน เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน รู้แค่ว่าเราเป็นคนที่ชอบเธอ และเธอก็มีกลุ่มเพื่อนของเธอที่กลับด้วยและจะแยกย้ายกันตรงป้ายรถเมล์ ส่วนเราหลังเลิกเรียนไม่รู้เลยว่าแต่ละวันจะไปไหน ถ้าไม่อยู่ห้องซ้อมดนตรีรุ่นพี่ ก็ไปกับเพื่อนนอกโรงเรียน

แต่ถ้าวันไหนกลับเร็ว วันพุธจะเป็นวันที่เราบังเอิญเจอเธอระหว่างทางกลับบ่อยๆ บางทีก็เจอที่ป้ายรถเมล์

เราจะขอกลับด้วยประจำ และเธอก็อนุญาต

ถ้าวันไหนเธอต้องแวะห้างเพื่อเข้าคลินิก เราก็จะไปด้วย

เรามักจะขอถือกระเป๋านักเรียนให้เธออยู่บ่อยๆ

สำหรับเราตอนนั้นเป็นอะไรที่ดีจริงๆ ได้เดินข้างๆคนที่ชอบ ได้ถือกระเป๋าให้ ได้ใช้เวลาสั้นๆด้วยกัน…

แล้วเธอจะคิดเหมือนกันไหม?

4.

เราไม่เคยกล้าถาม ไม่เคยไปขอเลื่อนสถานะกับเธอเลย จนวันนึงที่เราทะลึ่งไปกดขอสถานะใน Facebook เราคิดว่าถ้าเธอคิดเหมือนกันคงกดรับเอง แล้วไม่กี่ชั่วโมงหลังจากกดขอไป เธอก็กดรับจริงๆ

ตอนนั้นรู้สึกว่าฝันอยู่หรือเปล่าวะ? ก็ไม่หนิ Facebook มันก็ไม่โกหกหรอก แต่พอตื่นมาเช้าอีกวันสถานะก็หายไป ก็เลยคิดว่า อ๋อ…เธอกดผิดมั้ง

หลังจากวันนั้นเราก็ไม่เห็นเธอเลยที่โรงเรียนเลย จะหนึ่งสัปดาห์แล้ว Facebook เธอก็ไม่ออน และเราก็ไม่ได้ติดต่อไป ไม่รู้ทำไมตอนนั้นถึงไม่โทรไปเหมือนกัน จนเจอกลุ่มเพื่อนเธอในโรงเรียน พวกนั้นก็รีบตรงเข้ามาหาเราและคุยกับเราแบบจริงจังมากๆ

“แก!!! ไปทำอะไรใน Facebook”

“ก็…”

“แกรู้ไหม? มันทะเลาะกับพ่อมัน มันจะโดนย้ายโรงเรียนแล้ว”

เราจอดับไปพักนึง ยืนอึ้งและงงกับสิ่งที่ได้ยิน

พยายามประมวลผลในหัวแบบเร็วที่สุด

เออ…ก็น่าอยู่ ลูกสาวคนเดียวของบ้านที่ตั้งใจเรียนและกำลังมีอนาคต อยู่ๆมาเจอผู้ชายอย่างเรากดขอสถานะไป พ่อแม่เขาคงอกแตกตายแน่ๆ นี่ถ้าเขารู้ว่าเราแย่แค่ไหน เขาคงให้เลิกยุ่งกับเราจริงๆ

แล้วเราก็หายจากโรงเรียนไปพักนึงเหมือนกัน ปกติก็ดื้อไม่ค่อยไปอยู่แล้ว ยิ่งเจอเรื่องแบบนี้มันยิ่งทำให้เรารู้สึกผิดลึกๆและไม่มีแรงทำอะไร

จนเราเริ่มได้ข่าวว่าเธอกลับมาเรียนแล้ว เราดีใจมากๆที่เธอไม่โดนย้ายโรงเรียนกลางครัน แต่เราก็ยังไม่ได้ติดต่อกันพักใหญ่

นี่แหละมั้งสาเหตุหลักที่เราไม่จีบเขาทั้งๆที่เราก็ชอบเขามากกว่าใครๆ ไม่อยากดึงเขาลงมาเลย แต่อีกใจก็ไม่อยากเป็นแค่เพื่อนเลย ไอความรู้สึกย้อนแย้งนี่มันมีเต็มอกมาตลอดช่วง ม.ปลาย

แล้วความรู้สึกแย่ๆก็หมดไปเพราะได้กลับมาติดต่อกันอีกครั้ง แน่นอนว่าเราทั้งขอโทษและรู้สึกผิดกับเขามากๆ แต่เขากลับชิลๆและแสดงให้เราเห็นว่าไม่เป็นอะไรเลย เรื่องเล็กๆ แต่เรารู้ว่าเขาต้องมีปัญหากับที่บ้านหนักแน่

กลับมาติดต่อกันก็จริง แต่ก็มีระยะที่เราสร้างเองเพื่อให้เขาปลอดภัย ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ถ้าบังเอิญเจอระหว่างทางกลับบ้านก็กลับด้วยกันและถือกระเป๋าให้เหมือนเคย มีบางคืนที่โทรไปหาเพราะคิดถึงและเป็นห่วง

มีช่วงก่อนจะเลิกคุยที่เธอจะบินไปเที่ยวต่างประเทศแล้วเธอโทรมาคุยกับเราก่อนขึ้นเครื่อง แล้วบอกประมาณว่าเราเป็นคนสุดท้ายที่ได้คุยก่อนไปแล้วนะ มีอะไรจะบอกไหม จำได้ว่าแค่อวยพรให้เดินทางปลอดภัยก่อนวางสายไป…

5.

ช่วงโค้งสุดท้าย เป็นช่วงที่คนเริ่มหาที่เรียนต่อ ตอนนั้นเราคิดว่าคงเรียนไม่จบและก็ไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิต อยากลาออกไปเรียนที่อื่นหรือไม่ก็หางานทำ

ตอนนั้นเราคิดว่าตัวเราเองยังเอาไม่รอด ไม่คิดแล้วล่ะเรื่องความรัก ก็เลยค่อยๆเงียบหายจากเธอไป

แต่เราก็ลืมคิดว่า เดี๋ยวก็ไม่ได้เจอกันแล้วนี่นา ทำไมไม่ใช้เวลากับเธอให้คุ้มค่าหน่อย

แต่ปัญหามันรอบด้านจริงๆ มืดไปหมด ไม่อยากคิดเรื่องอื่นเลยนอกจากทิศทางของชีวิตตัวเอง

โชคดีที่แรงฮึดสุดท้าย ผลการเรียนที่ติดค้างทั้งหมด เราสามารถแก้จนจบได้ทันเวลา เราจำได้ว่าเจอเธอครั้งสุดท้ายที่ป้ายรถเมล์ที่เราเคยกลับด้วยกัน เห็นเธออยู่ไกลๆ เธอใส่ชุดนักศึกษาดูเป็นผู้ใหญ่ ส่วนเราเป็นแค่ใครคนนึงที่เธออาจจะลืมไปแล้วก็ได้ เราเลยเลือกที่จะไม่เดินไปที่ป้ายรถเมล์และให้เธอขึ้นรถเมล์ไปก่อน

เห้อ…คิดถึงเธอจังเลย

แล้วเธอจะคิดเหมือนกันไหม?

6.

ตลกดีนะ อยู่ๆวันนึงเธอก็ขึ้นตรงการแนะนำเพื่อนใน Fcaebook อีกครั้ง เราก็เพิ่มเพื่อนเธอไปทันที ตอนนั้นพวกเราทั้งคู่อยู่ในช่วงอยู่มหาลัย เราดีใจอยู่แล้วที่ได้คุยกับเธอ แล้วก็ดีใจขึ้นไปอีกที่รู้ว่าเธอได้เรียนการบิน ที่ ม.กรุงเทพ แล้ว แต่พอคุยไปคุยมาเหมือนได้รับรู้แล้วว่า…เธอมีคนที่ชอบอยู่แล้ว

เราก็เลยหายออกมาเงียบๆอีกครั้ง…

ผ่านไปเกือบสิบปี อาจจะเกินก็ได้ เราบังเอิญเห็นเธอขึ้นตรงแนะนำเพื่อนใน Facebook อีกแล้ว นี่ครั้งที่สามแล้วเนาะ…

แต่ครั้งนี้เราไม่ได้กดเพิ่มเพื่อนไป เรารู้สึกได้ถึงระยะที่มันห่างมากๆ และคิดว่าถ้าเธอไม่มีแฟน ก็ไม่ได้ชอบคนอย่างเราอยู่ดี…

คนที่มาๆหายๆ แต่ข้างในมันรู้สึกรักเธอมากๆ ซึ่งเธอไม่ได้มารับรู้ความรู้สึกข้างในของเราที่มีให้เธอมาตลอดตั้งแต่ ม.ปลาย หรอก ว่ามันเยอะกว่าที่เคยบอกขนาดไหน

คนที่อยากเลื่อนสถานะ ไม่อยากเป็นแค่เพื่อนเลย แต่ต้องหยุดความรู้สึกนั้นไว้เพราะกลัวเธอจะมีปัญหากับที่บ้าน

แล้วเธอจะคิดเหมือนกันไหม?

แต่เธอคงไม่คิดหรอก เผลอๆจำเราไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ  เราอยากจะวาดรูปให้ แล้วเพิ่มเพื่อนไปเซอร์ไพรส์ ว่าเราคิดถึงเธอขนาดไหน ไม่ได้อยากมาๆหายๆไปจากชีวิตเธอแบบนี้

เธอคนที่ทำให้เรามีแรงไปโรงเรียนตอนนั้น ทำให้เราอยากเป็นคนที่ดีขึ้น

ตลอดเวลาที่เรารู้จักกัน เราไม่เคยมีปากเสียงหรือทะเลาะกันเลยสักครั้ง…

ไม่กี่วันหลังจากเห็นเธอขึ้นที่การแนะนำเพื่อน เธอก็ตั้งรูปหน้าปกกับแฟนของเธอ อื้ม…เขาดูเหมาะสมกันดี ดีแล้วที่เราไม่กลับไปหาคำตอบด้วยตัวเอง

ความรู้สึกทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องคิดมากอีก เพราะยังไงคนที่มีความสุขตอนนี้ไม่ใช่แค่เธอ…แต่มันคือเรา

เราไม่ได้เสียใจที่เราไม่ได้ไปกันต่อ ไม่เสียใจที่เป็นแค่เพื่อนกันด้วยซ้ำ

เราดีใจที่เวลานึกถึงเธอ…เพลงคำถามกับไม่ใช่อิจฉาที่เธอเล่นให้เราฟังก่อนนอนมันก็ลอยเข้ามา เหมือนเราเปิด mp3 ส่วนตัวในหัวเรา

มันให้ความรู้สึกทั้ง Love ทั้ง Lost ในเวลาเดียวกันจริงๆ

ถ้าจะเสียดายอีกอย่าง คงเสียดายที่ไม่เคยได้ถ่ายรูปด้วยกันเลยสักครั้ง…แต่ไม่เป็นไร

มันผ่านไปแล้ว…

“ไม่ใช่อิจฉา แต่ว่ามันรักเธอ”

…แด่ผู้หญิงที่กลัวน้ำตกสุดชีวิต แต่รักทะเลหมดหัวใจ…