5 Min

เหตุผลที่เมืองไทยอาจไม่ใช่สวรรค์ของ ‘ฝรั่งวัยเกษียณ’ อีกต่อไป

5 Min
3206 Views
30 Aug 2020

เมืองไทยไม่ใช่แค่เมืองท่องเที่ยวที่ต่างชาติชอบมาเที่ยวเท่านั้น แต่เมืองไทยยังเป็นเมืองน่าอยู่สำหรับชาวต่างชาติในบั้นปลายชีวิตด้วย

ในปาฐกถาเนื่องในโอกาสครบรอบ 74 ปี หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2020 ‘ลุงตู่’ หรือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พูดเช่นกันว่า “ทูตฯ ทุกประเทศต่างก็บอกว่าประเทศไทยน่าอยู่ อากาศดี อาหารอร่อย ธรรมชาติสวยงาม ระบบการแพทย์ดี เขาอยากมาเกษียณอายุที่ไทย อยากมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่ไทย

สิ่ง ‘ลุงตู่’ พูดมีส่วนถูก เพราะ ‘ในอดีต’ เมืองไทยเคยเป็นเมืองระดับท็อปของ ‘ฝรั่ง’ ที่ตั้งใจจะมาใช้ชีวิตเกษียณตอนบั้นปลาย

และไทยเป็นประเทศแบบ ‘หล่อเลือกได้’ โดยไม่ต้องทำอะไรง้อต่างชาติเลย ด้วยเหตุผลที่นายกฯ ว่ามา รวมถึง ‘ค่าครองชีพถูก’

เพราะนี่คือประเด็นหลักที่คนเลือกไปใช้ชีวิตเกษียณในต่างประเทศ

อธิบายให้เห็นภาพคือ ถ้าเขาได้เงินบำนาญในวัยเกษียณประมาณ 60,000-70,000 บาทต่อเดือน อยู่ยุโรปก็ต้องอยู่อย่างกระเบียดกระเสียนไม่ได้ต่างจาก ‘เด็กจบใหม่’  แต่อยู่ไทย เขาสามารถอยู่แบบคนพอจะมีฐานะได้เลย

แต่รู้ไหมว่า จากการจัดอันดับประเทศที่น่ามาใช้ชีวิตบั้นปลาย ปี 2020 ไทยตกจากอันดับ และไม่อยู่ในชาร์ตระดับท็อปแล้ว (ประเทศหน้าใหม่ที่ติดแทนไทยคือ ‘เวียดนาม’)

คำถามคือทำไม?

คำตอบสั้นที่สุดคือ ปีที่แล้วไทยเพิ่งออก ‘นโยบายกีดกันคนมาเกษียณ’ แบบไม่ตั้งใจ และนั่นดูจะเป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่ทำให้ต่างชาติคิดว่าประเทศนี้ไม่น่ามาอยู่แล้ว

แต่นโยบายนี้คืออะไร อะไรทำให้เรามาถึงตรงนี้ได้

เวลาพูดถึง ‘การเกษียณ’ เราไม่ได้พูดถึงการแค่มาอยู่มาเที่ยวเมืองไทยของคนหนุ่มสาวที่เน้นสำมะเลเทเมา แต่เราพูดถึงการมาอยู่ของ ‘คนแก่’ ที่นอกจากจะใช้ชีวิตค่อนข้างนิ่งๆ แล้ว โดยทั่วไปก็มักจะมีปัญหาสุขภาพติดตัวตามวัย

ปัญหาสุขภาพพวกนี้ ถ้าคนแก่ยุโรปอยู่ประเทศตัวเอง พวกเขาก็จะได้รับการรักษาพยาบาลฟรี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการสังคมมาตรฐานของยุโรป

แต่ถ้าจะย้ายไปเกษียณประเทศอื่น ก็เป็นเรื่องปกติมากๆ ที่จะใช้ “สวัสดิการสังคม” จากประเทศตัวเองไม่ได้ และก็ต้อง “จ่ายเอง”

แน่นอน ค่ารักษาพยาบาลของไทยนั้นถูกกว่าประเทศที่ค่ารักษาพยาบาลสุดโหดอย่างสหรัฐอเมริกามากโข ขนาดโรงพยาบาลเอกชนแพงๆ ของบ้านเราก็ถูกกว่ามาก

แต่ถ้าเทียบกับฝั่งยุโรปที่คนไม่คุ้นเคยกับการจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง (เพราะทุกคนรักษาด้วยประกันสุขภาพ) ค่ารักษาพยาบาลของไทยก็หนักหนาพอควรเหมือนกัน โดยเฉพาะถ้าไปโรงพยาบาลแบบ ‘อินเตอร์’ ที่ทำมาอำนวยความสะดวกชาวต่างชาติที่ใช้ภาษาไทยไม่ได้โดยเฉพาะ

เราต้องไม่ลืมว่า ‘คนแก่’ นี่ต้องไปหาหมอประจำ ต้องไปรับยาพวก ‘โรคคนแก่’ ไปจนถึงเช็คโน่นนี่เรื่อยๆ ปีละสองสามเดือน และนี่คือต้นทุนที่ชาวต่างชาติที่มาเกษียณเมืองไทยต้องแบกรับ

และบางที ‘ความเสี่ยง’ ก็หนักไปแบบที่เคยมีคนบ่นว่า “อยู่เมืองไทย ถ้าจะป่วยก็ตายดีกว่า”

ต้องเข้าใจว่า เขาไม่ได้พูดถึงการป่วยเล็กๆ น้อยๆ แต่พูดถึงการป่วยหนักๆ แบบมีอุบัติเหตุ หรือล้มหมอนนอนเสื่อต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเดือน

ซึ่งเราก็คงเดาได้ไม่ยากว่า ถ้าต้องนอนโรงพยาบาลหรือเป็น ‘ผู้ป่วยใน’ ของพวกโรงพยาบาลเอกชนราคาแพงเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ค่าใช้จ่ายมีหลายแสนบาทแน่ๆ หรืออาจจะไปถึงล้านบาท

และค่าใช้จ่ายระดับนี้ คนที่มาเกษียณเมืองไทย โดยทั่วไปจ่ายไม่ไหวแน่นอน

คนต่างชาติที่เกษียณจะเอาเงินก้อนมาจากไหน?

คิดง่ายๆ คือ ถ้าพวกเขารวยขนาดนั้น ไม่อยู่เมืองไทยหรอก เพราะประเทศที่ ‘น่าอยู่’ กว่าแบบเพิ่มค่าครองชีพไปอีกหน่อย มีถมไป

เช่น ในยุโรปเอง ประเทศท็อปๆ ที่ติดอันดับน่าไปอยู่ตอนแก่ ได้แก่ โปรตุเกส สเปน เพราะประเทศเหล่านี้เป็นประเทศที่อยู่แล้วมีมาตรฐานชีวิตแบบยุโรปได้ในราคาถูกที่สุด

ตรงนี้ ถ้าเป็นประเทศอื่นที่ ‘ให้สัญชาติ’ คนที่มาอยู่ ปัญหาจะไม่มี เพราะเขาใช้สวัสดิการพลเมืองในการรักษาพยาบาลได้ (ซึ่งก็ไม่ได้ใช้ฟรีนะครับ เพราะความเป็นพลเมือง สิทธิต่างๆ มาพร้อมกันหน้าที่ต้องจ่ายภาษี)

แต่ของไทย อย่างที่ว่า การขอสัญชาติในทางปฏิบัติเป็นไปแทบไม่ได้ และคนก็ต้องอยู่แบบต่อวีซ่าเรื่อยๆ และต้อง ‘ไปรายงานตัว’ ทุก 90 วันกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง

ซึ่งอาจฟังดูน่าเบื่อ แต่คนอยู่ในไทยหลายๆ คนก็คงจะชินแล้ว (เรื่องนี้เป็นภาระของชาวต่างชาติที่อยู่ในไทยที่คนไทยไม่ค่อยรู้)

ทีนี้ ลองคิดดีๆ ปัญหาเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่อาจบานปลายนี่เป็นปัญหาใหญ่มาก เพราะ “คนแก่ฝรั่ง” ที่มาอยู่เมืองไทย มีปัญญามาอยู่ แต่ป่วยหนัก กลับไม่มีปัญญาจะจ่ายค่ารักษาพยาบาล และแนวโน้มคนยิ่งแก่ ก็ยิ่งมีโอกาสป่วยหนัก

ซึ่งเรื่องนี้ก็เข้าใจได้ในทางเศรษฐกิจ เพราะการที่มีเงินใช้เดือนละ 60,000-70,000 บาท กับการมีเงินก้อนสแตนด์บายไว้เป็นล้านบาทเพื่อรักษาพยาบาล เป็นคนละเรื่องกัน

ปัญหาคือจะทำอย่างไร?

รัฐบาลไทยเกิดหัวใส มองว่าภาวะนี้เป็นปัญหาที่ต้องแก้โดยการ ‘บังคับซื้อประกันสุขภาพ’ กล่าวคือออกกฎชาวต่างชาติที่จะมาพำนักในไทยวัยเกษียณต้องมีประกันสุขภาพที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายผู้ป่วยนอก ครั้งละไม่ต่ำกว่า 40,000 บาท และค่าใช้จ่ายผู้ป่วยในไม่ต่ำกว่า 400,000 บาททุกครั้ง 

นโยบายนี้บังคับใช้มาตั้งแต่ปลายปี 2019 แล้ว และในตอนนี้ใครจะขอวีซ่าหรือต่อวีซ่าแบบอยู่ระยะยาวแบบผู้เกษียณอายุ ต้องมีหลักฐานประกันสุขภาพมายืนยันด้วยร่วมกับหลักฐานต่างๆ ที่ต้องมีอยู่แล้ว

ทีนี้ คนพอรู้เรื่องประกันสุขภาพก็อาจสงสัย เพราะโดยทั่วไปประกันสุขภาพปกติ เขาไม่รับทำใน ‘คนแก่’ แต่ในความเป็นจริง ตลาดประกันทั้งหลาย บริษัทประกันพร้อมจะรับทำประกันทั้งหมด ถ้า ‘เบี้ยประกัน’ สูงพอ และกรณีนี้ก็เช่นกัน

ทางรัฐบาลมีลิสต์เลยว่า ประกันเจ้าไหนรับทำบ้าง ซึ่งเบี้ยประกันเรียกได้ว่า “ค่อนข้างโหด”

อธิบายง่ายๆ คือ ครึ่งแสนต่อปีเป็นปกติใน ‘ราคาเริ่มต้น’ ส่วนสำหรับคนที่มี “โรคประจำตัว”  อยู่แล้ว (เช่น เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคตับ โรคไขข้อ) แนวโน้มก็คือ จะทำให้เบี้ยประกันสูงขึ้นไปอีก เพราะประกันรู้แล้วว่าคนพวกนี้ต้องไปหาหมอเรื่อยๆ เป็นปกติเพื่อไปตรวจและรับยา และ “คนแก่” น้อยคนที่จะไม่มี “โรคประจำตัว”

ดังนั้น เบี้ยประกันที่จะต้องจ่ายจริงๆ หลังจากที่บริษัทประกันรับรู้สภาพร่างกาย ก็มีเป็นแสนบาท จะสองสามแสนบาทต่อปี ก็ไม่ได้แปลกอะไรสำหรับ “คนแก่” ที่ร่างกายเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา

และนี่คือ “ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมา” สำหรับคนต้องการมาเกษียณอยู่เมืองไทย

นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ คิดภาพง่ายๆ คนมาอยู่ไทยเพราะทุกอย่างราคาถูก แต่พอเราไปบังคับให้เขาต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายปีสะแสนสองแสนบาท แม้ว่านั่นจะไม่ทำให้เขาถึงกับ “จ่ายไม่ไหว” แต่เรากำลังจะทำให้เขาต้องกลับไป “อยู่อย่างยาจก” อีก

พอเป็นแบบนี้ คนต่างชาติที่เคยอยากมาเกษียณอยู่แล้วเมืองไทย ก็เริ่มมองหาชาติอื่นๆ ดีกว่า ขณะเดียวกัน บทความที่ว่าด้วยความไม่โสภาของการมาเกษียณเมืองไทยก็เริ่มปรากฎขึ้นเนืองๆ ในแวดวงชาวต่างชาติ (ข้อเขียนเหล่านั้น คนไทยไม่ค่อยเห็น เพราะเขียนเป็นภาษาท้องถิ่น)

และผลก็อย่างที่เห็น ปีนี้ประเทศไทยเริ่มไม่ค่อยอยากมีใครมาอยู่อย่างชัดเจนแล้ว และความคิดของท่านนายกฯ ก็ดูจะยังไม่อัปเดตเท่าไร

6.เมืองไทยนั้นน่าจะพร้อมยิ่งกว่าชาติใดในโลก ที่จะเป็น “ปลายทางผู้สูงอายุ” เนื่องจากอุตสาหกรรมบริการด้านสุขภาพของเรานั้นเลื่องลือไปทั่วโลกว่า “ถูกและดี”

ความเด่นด้านอุตสาหกรรมสุขภาพกับด้านการท่องเที่ยว เรียกได้ว่าเมืองไทยแทบจะ “ไร้เทียมทาน” ถ้าจะพัฒนาต่อให้ประเทศเป็นปลายทางของชีวิตวัยเกษียณของผู้สูงอายุนานาชาติ

เรียกได้ว่า ถ้าหลายปีที่ผ่านมา ‘ผู้นำ’ ของเรามีวิสัยทัศน์ หรือ #ถ้าการเมืองดี ป่านนี้บ้านเราอาจกลายเป็นแหล่งพักพิงของผู้สูงอายุโลกอันดับ 1 ไปแล้วก็ได้

แต่ก็เอาเถอะ นี่ไม่ใช่โอกาสเดียวที่ประเทศเราเสียไปในรอบหลายปีที่ผ่านมาสักหน่อย หรือคุณว่าไม่จริง?

อ้างอิง:

  • มติชนออนไลน์. https://bit.ly/31pGOCW
  • Business Insider. https://on.mktw.net/34sOGVW
  • Expressen. https://bit.ly/3gnOh9C
  • Thai Embassy. https://bit.ly/34rTfA0
  • กรมการกงสุล กระทรงการต่างประเทศ. https://bit.ly/2FJnmZc
  • สมาคมประกันวินาศภัยไทย. https://bit.ly/2Ey17Fi