เลิกทาสผ่านไป 150 ปี ทำไม ‘คนดำ’ อเมริกันยังเป็นพลเมืองชั้นสอง?

5 Min
553 Views
30 Jul 2020

เดือนมิถุนายน 2020 น่าจะเป็นเดือนที่ชาวโลกต้องจดจำพอสมควรเพราะเกิดเหตุจลาจลอย่างที่ไม่เคยมีเป็นเวลาหลายทศวรรษในอเมริกา เรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ “แย่งซีน” ชาวโลกที่กำลังพอหายใจหายคอออกจากการคลายการ “ล็อกดาวน์” ตลอดสองเดือนก่อนหน้านั้นเพื่อสู้กับ COVID-19

เหตุการณ์ก่อจลาจลที่มีชนวนเหตุจากความรุนแรงต่อ “คนดำ” ในอเมริกาไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะในปี 1968 ก็เกิดเหตุการณ์ระดับนี้ในวงกว้างมาแล้วหลัง Martin Luther King Jr. นักต่อสู้แนวอหิงสาถูกลอบสังหาร หรือเหตุการณ์ระดับรองลงมาก็เกิดใน Los Angeles ปี 1992 หลังทางสถานีโทรทัศน์แพร่ภาพ Rodney King ถูกตำรวจรวมทุบตี

เรื่องทั้งหมดนี้ ถ้าไปถามบางคนเขาก็จะบอกว่ามั้นเกิดจากปัญหา “เหยียดผิว” ที่ไม่จบไม่สิ้น

แต่อธิบายแบบนั้นมันอาจจะง่ายไปหน่อย เพราะในหลายประเทศในโลกการ “เหยียดผิว” ก็มีอยู่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดเหตุโกลาหลวุ่นวายแบบในอเมริกา

ซึ่งเอาจริงๆ มันอธิบายได้ว่าสังคมอเมริกันเป็นสังคมที่มีกลไกในการกด “คนดำ” ให้เป็นชนชั้นล่างหรือ “คนจน” มาตลอด ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ลึกลงไปกว่าการ “เหยียดผิว” ที่ดูจะเป็นเรื่องระดับทัศนคติมากกว่า หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ต่อให้ตอนนี้คนอเมริกันเลิก “เหยียดผิว” อย่างสิ้นเชิงในทำนองเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างแคนาดา ปัญหาที่ “คนดำ” ในอเมริกาต้องเผชิญในโลกทุนนิยมสุดขั้วอย่างอเมริกาก็ยังห่างไกลที่จะจบ

แล้วปัญหานี้มันเป็นมายังไง? เราจะเล่าย่อๆ ให้ฟัง

ในทวีปอเมริกานั้นดั้งเดิมไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “คนดำ” อยู่อาศัยเลย และ “คนขาว” ก็ไม่มีเช่นกัน

อย่างไรก็ดีหลัง Christopher Columbus “ค้นพบ” ทวีปอเมริกา “คนขาว” ก็ค่อยๆ ทยอยกันไปตั้งนิคมไปทั่ว ซึ่ง “คนขาว” พวกนี้ก็ต้องการข้ารับใช้ ครั้นจะไปจับคนพื้นเมืองเป็นทาส คนพื้นเมืองส่วนใหญ่ที่มีทั้งเครือข่ายและชำนาญพื้นที่ก็มีจะมีการหนีจากนายทาส

ดังนั้นการเอาคนจากต่างถิ่นมาเป็นทาสในอเมริกาจึงตอบโจทย์กว่า เพราะคนพวกนี้จะหนีไปไหนไม่ได้

และแหล่งที่มาของทาสที่ดีที่สุดก็คือแอฟริกา

ในแอฟริกา จริงๆ การ “ค้าทาส” มีมาอยู่ก่อน “ยุคอาณานิคม” แล้วซึ่งเป็นปกติมากๆ ที่คนในแอฟริกาต่างเผ่าจะไปรบกับอีกเผ่าแล้วจับอีกเผ่ามาเป็นทาส และเอาทาสเหล่านี้ไป “แลกสินค้า” กับพวกพ่อค้าชาวอาหรับ ไปจนถึงชาวตะวันตก อย่างไรก็ดี พอเข้าสู่ยุคอาณานิคม การ “ค้าทาส” ก็หนักข้อขึ้นมากๆ ซึ่งทาสส่วนใหญ่ที่ถูกซื้อจากทวีปแอฟริกาก็ถูกส่งไปอเมริกานี่เอง

สำหรับในสหรัฐอเมริกา ทาส “คนดำ” ก็อยู่กับ “คนขาว” มาตั้งแต่ช่วงไปตั้งนิคม และอยู่มายาวนานจนเกิดการปฏิวัติอเมริกาในหลายศตวรรษที่ 18 และก็เรียกได้ว่าเหล่าบรรพชนผู้เป็น “บิดา” ของประเทศอเมริกานี่ก็ล้วนเป็น “นายทาสคนขาว” ทั้งนั้น และก็ไม่แปลกเลยที่สถานะของ “คนดำ” ในตอนนั้นจะต่ำต้อยสุดๆ

ต่อมาในศตวรรษที่ 19 เศรษฐกิจอเมริกาในทางตอนเหนือเกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมขึ้น ระบบเศรษฐกิจแบบการเกษตรที่วางอยู่บนการใช้แรงงานทาสไม่ตอบโจทย์ และจริงๆ นี่ก็เป็นแนวโน้มเดียวกับประเทศยุโรปส่วนใหญ่ที่ในตอนนั้น “เลิกทาส” ไปหมดแล้วด้วย ซึ่งก็ยังไม่นับว่าการมีทาสอยู่ในตอนนั้นไม่สอดคล้องกับแนวคิด “ประชาธิปไตย” และ “สิทธิมนุษยชน” ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในยุโรปช่วงนั้น ตรงนี้เรียกได้ว่าทั้งประเทศอเมริกา มีแค่พวกรัฐทางใต้ที่ทำการเกษตรที่ต้องการยังคงระบบทาสเอาไว้ในยุคที่ในโลกเลิกทาสกันจะหมดแล้ว

ผลก็คือเกิดสงครามกลางเมืองอเมริกา ซึ่งจบลงด้วยการล้มตายของผู้คนจำนวนมาก และเกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 13 ของอเมริกา โดยกำหนดชัดเจนว่าในอเมริกาจะต้องไม่มีทาสอีกต่อไปแล้วตั้งแต่ปี 1865

ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าอเมริกา “เลิกทาส” มา 150 ปีแล้ว แต่ “คนดำ” ก็ยังต้อยต่ำอยู่ในสังคมอเมริกาทุกวันนี้

ใจเย็นครับ ยังมีอีกหลายเรื่อง

หลังจากเลิกทาส ชีวิตของ “คนดำ” ทางใต้ที่เคยเป็นทาสก็ย่อมดีขึ้น แต่ในความเป็นจริง บรรดารัฐทางใต้ที่เป็นผู้แพ้สงครามถูกบีบบังคับให้เลิกทาส อย่างไรก็ดีในอเมริกา รัฐแต่ละรัฐเหมือนประเทศ จะบัญญัติกฎหมายยังไงก็ได้ถ้าไม่ขัดรัฐธรรมนูญและกฎหมายของรัฐบาลกลาง และรัฐธรรมนูญอเมริกันตอนนั้นห้าม “มีทาส” ก็จริง แต่ไม่ได้ห้ามการออกกฎหมายแบบเลือกปฏิบัติกับชาติพันธุ์ต่างๆ ทางรัฐทางใต้ก็เลยออกกฎหมายให้เกิดการเลือกปฏิบัติกับ “คนดำ” อย่างเป็นระบบ ซึ่งภายหลังกฎหมายเหล่านี้ถูกเรียกว่ากฎหมาย Jim Crow (Jim Crow เป็นตัวละคร “นิโกร” ในเพลงพื้นบ้านอเมริกา)

กฎหมายพวกนี้ทำให้ “คนดำ” ในรัฐทางใต้ถูกเลือกปฏิบัติอย่างมาก บางสถานที่ก็ใช้ร่วมกับคนขาวไม่ได้ โรงเรียนก็ไม่ได้เรียนร่วมกัน ซึ่งแน่นอน “สวัสดิการ” ต่างๆ ที่ “คนดำ” ได้ก็ย่อมต่ำกว่า “คนขาว” อย่างไรก็ดีกฎหมายพวกนี้ก็ถูกลบล้างไปหลังการลุกฮือประท้วงของ “คนรุ่นใหม่” ในอเมริกาช่วง 1960’s จนทำให้รัฐบาลกลางออกกฎหมาย Civil Right Act of 1964 และทำให้การเลือกปฏิบัติบนฐานของเชื้อชาติเป็นสิ่งผิดกฎหมายทั่วอเมริกา

ดังนั้นเรียกได้ว่าตั้งแต่ปี 1964 “คนดำ” ในอเมริกานั้นก็มี “สิทธิ์ตามกฎหมาย” เท่าเทียมกับคนขาวทุกประการโดยสมบูรณ์

แต่ผ่านมากว่า 50 ปีจนถึงปัจจุบัน “คนดำ” ก็ยังเรียกได้ว่าเป็น “ชนชั้นล่าง” ของสังคมอเมริกาอยู่ทั้งๆ ที่ “ในทางกฎหมาย” พวกเขาไม่ได้ถูกเลือกปฏิบัติแบบเป็นระบบแบบเดิมอีกแล้ว

ตรงนี้หลายๆ คนก็อาจตั้งข้อสงสัยว่าหรือจริงๆ พวกเขาก็เป็นเพียง “เผ่าพันธุ์ที่ขี้เกียจ” ไม่ขยันขันแข็งทำมาหากิน? ไม่ได้เกี่ยวกับไม่มีสิทธิ์อะไรหรอก ขี้เกียจเอง

การคิดแบบนี้ดูจะมองปัญหาง่ายไปเยอะ เพราะปัจจุบัน “คนดำ” อเมริกาเรียกได้ว่าต้องเผชิญกับ “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ที่สืบทอดกันมา

ย้อนกลับไปช่วง 1930’s ช่วงนั้นอเมริกาเศรษฐกิจตกต่ำหนัก รัฐบาลในตอนนี้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากมายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อเมริกา และหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก็คือการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับบุคคลทั่วไป

ซึ่งในตอนนั้น เงื่อนไขของการได้สินเชื่อก็คือคุณต้องมาจากที่อยู่อาศัยในละแวกบ้านที่ดี อาชญากรรมต่ำ อะไรก็ว่าไป ซึ่งในทางปฏิบัติ มันหมายถึงคนที่อยู่ในย่านของคนขาวเท่านั้นที่จะได้สินเชื่อและได้บ้านในทีสุด ส่วนคนที่อยู่ในย่านของคนดำและผู้อพยพที่เป็นย่านยากจนและเต็มไปด้วยอาชญากรรมนั้นก็ไม่มีโอกาสได้สินเชื่อเดียวกันนี้ ก็ต้อง “เช่าบ้าน” อยู่ต่อไป

สินเชื่อตัวนี้มีผลมากๆ กับการเปลี่ยนแปลงทางสินทรัพย์ของคนอเมริกาในเวลาต่อมา อธิบายง่ายๆ คือมันทำให้ “คนขาว” รุ่นต่อๆ มามี “มรดก” ที่สำคัญจากรุ่นพ่อแม่คือ “บ้าน” ในขณะที่พวก “คนดำ” ไม่มี และนี่คือ “ทุนชีวิต” ที่ต่างกันมาแต่กำเนิดในรุ่นถัดๆ มา

ถ้านั่นยังไม่เลวร้ายพอ การอยู่ในละแวกบ้านต่างๆ มันก็หมายถึงคุณต้องไปเรียนโรงเรียนรัฐตามที่อยู่ของคุณ และโรงเรียนในย่ายที่ยากจน ก็จะงบประมาณน้อย เพราะเงินโรงเรียนมาจากภาษีท้องถิ่น นี่ทำให้โรงเรียนในย่านยากจน ครูก็ไม่ดี การเรียนการสอนก็ไม่ดี และก็ไม่แปลกว่าคนที่จนโรงเรียนพวกนี้มาจะมี “อนาคตสดใส” สู้พวกที่โตมาในย่านมั่งมีไม่ได้

และนั่นก็หมายความว่า “คนดำ” ที่อยู่ในย่านยากจนจะทั้งเกิดมามี “ทุนชีวิต” ต่ำไม่พอ พวกเขายังได้การศึกษาที่ไม่ดีด้วย และเมื่อเวลายิ่งผ่านไป คนขาวที่มีทุนก็ยิ่งมีแนวโน้มจะรวยขึ้นๆ เนื่องจากมีทุนอยู่ในมือ มีการศึกษาดี ส่วนคนดำก็อยู่ในวังวนของความยากจนวนไปมา

และก็นี่แหละครับ คำอธิบายที่ว่าทำไม “คนดำ” ถึงยังเป็นประชากรชั้นสองของอเมริกา แม้ว่าเลิกทาสก็แล้ว จะแก้กฎหมายให้ทุกเชื้อชาติได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกันก็แล้ว

นี่คือปัญหาใหญ่ที่สุดครับ เพราะในอเมริกา “คนดำ” คือ “คนจน” และก็ไม่แปลกเลยที่ประเทศที่ความเหลื่อมล้ำสูงๆ พวกตำรวจจะ “เลือกปฏิบัติ” คนตามฐานะ และปฏิบัติกับ “คนจน” อย่างเลวร้าย หรือกระทั่ง “ต่ำกว่ามนุษย์” แบบที่ “คนดำ” อเมริกาต้องเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ทางออกของ “ปัญหา” เหล่านี้ จริงๆ อเมริกาก็สามารถจะ “เรียนรู้” จากประเทศที่ลดความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ได้ทั้งๆ ที่เป็นสังคมที่ชาติพันธุ์หลากหลายอย่างแคนาดาและสิงคโปร์

แต่คำถามคืออเมริกาจะอยาก “เรียนรู้” หรือเปล่า?

เพราะถึงที่สุด คนอเมริกันจำนวนมากก็ยังเชื่อว่าพวก “คนดำ” นั้นได้ “เลือก” ชีวิตที่เหลวแหลกของพวกเขาเอง