3 Min

เมื่อชีวิตถูกสิ่งรอบตัวกดดันตัวเราให้เป็นในแบบที่ควรเป็น จนเราลืมความสุขและตัวตนเราบางส่วนในวัยเด็ก

สิ่งสวยงามไม่เคยเรียกร้องความสนใจ

3 Min
93 Views
23 Jun 2021

ประโยคสะกดใจที่น่าจดจำได้ในหนังเรื่อง The Secret Life of Walter Mitty

หนังครบรสที่ดูเผินๆอาจจะดูตลก แต่แฝงไปด้วยความดราม่าเล็กๆ

พร้อมการผจญภัยที่ทำให้ชายวัยกลางคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งได้

สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวเขา

และตัวตนในวัยเด็กของเขาอีกครั้ง                                                                                

.

หนังเรื่องนี้พูดถึงชีวิตของชายวัยกลางคน ที่ชื่อว่า Walter Mitty(วอลเตอร์ มิตตี้)   

ที่ชีวิตสุดแสนจะธรรมดาแต่ตัวเองไม่ธรรมดา

แต่ที่ต้องเดินตามวัฏจักรของมนุษย์เงินเดือนมาหลายกว่า 10 ปี ในตำแหน่งหน้าที่

พนักงานล้างฟิล์ม เมื่อตอนที่คุณพ่อเสียชีวิต

เขาจึงจำเป็นต้องรับหน้าที่หัวหน้าครอบครัว โดยกลับมาใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดา

ทำงานธรรมดาตามแนวทางมนุษย์เพื่อหารายได้เลี้ยงชีพแก่แม่แล้วก็น้องสาวของตัวเอง

.

เหตุเกิดจากรูปภาพที่ 25

จุดเปลี่ยนของชีวิตของเขาได้เริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเขาต้องตามหาภาพที่ 25 ของบริษัทที่หายไป

เพื่อลงนิตยสารฉบับสุดท้ายก่อนที่จะเปลี่ยนโฉมใหม่เป็นนิตยสารออนไลน์ ทำให้เขาต้องเดินทาง

เพื่อตามหา Sean O’ Connell (ฌอน โอคอนเนลล์)  ผู้บริหารและช่างภาพ ที่เขาเองก็ไม่เคยเจอตัวเป็นๆเลยสักครั้ง

ตลอดหลายปีของการทำงานของเขา

.

การเปลี่ยนแปลงเริ่มจากการเดินทาง

.

ในการเดินทางเพื่อตามหาภาพที่ 25 ในครั้งนี้ ทำให้ตัวเขาได้เดินทางไปที่  ที่เขาไม่ได้เคยไป

ได้เจออุปสรรคท้าทายใหม่ๆ และ ทำให้เขาต้องก้าวข้าม Comfort Zone ของตัวเองอีกครั้ง

เพราะต้องการพบ Sean O’ Connell  เพื่อต้องการหาเบาะแสของภาพที่ 25 ที่เขาเป็นคนถ่าย

.

สุดท้าย ภาพที่ 25 ที่เขาตามหามาตั้งนานนั้น กลับอยู่ในกระเป๋าที่ฌอนเป็นคนให้มาตั้งแต่แรกเสียเอง

อย่างไรก็ตาม เขาก็โดนไล่ออกจากการปรับตัวของบริษัทนี้อยู่ดี ไม่ว่าจะทุ่มเทเดินทางเพื่อหาภาพที่ 25

มาเป็นปกนิตยสารฉบับสุดท้าย

 

แม้ว่าการเดินทางตามหาภาพในครั้งนี้จะส่งผลให้ตัวเขาต้องโดนไล่ออกจากนิตยสาร Life

ที่เขาทำงานเป็นเวลานาน  แต่การเดินทางในครั้งนี้ “ มันไม่เคยสูญเปล่า “

.

ในการเดินทางครั้งนี้ มันทำให้เขาได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ

และ อะไรที่เคยทำแล้วแต่ไม่ได้ทำมานานอีกครั้ง

ไม่ว่าจะเป็นการกระโดดจากเฮลิคอปเตอร์ แล้วต้องต่อสู้กับฉลามระหว่างไปกรีนแลนด์

การเล่นสเกตบอร์ดในระยะทางที่ตามหาฌอนในไอซ์แลนด์

แล้วหนีจากภูเขาไฟระเบิด

.

จบด้วยการที่ต้องเดินฝ่าภูเขาหิมะ เพื่อไปหา

ฌอนที่ถ่ายรูปเสือดาวหิมะที่ปากีสถาน

.

สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาได้เดินออกจาก Comfort Zone อีกครั้งหนึ่ง

ทำให้เขาได้กลับไปหวนคืนความจำในวัยเด็กที่ไว้ทรงโมฮ็อก

แล้วก็คลั่งสเกตบอร์ดมาก ก่อนที่พ่อเขาจะเสีย

แล้วอะไรหลายๆอย่างก็ได้เปลี่ยนไป ด้วยการสวมบทบาทหัวหน้าครอบครัว

จนบางทีก็หลงลืมตัวเองและความสุขในวัยเด็กในบางส่วนไปปริยาย

.

นี่ยังไม่รวมถึงการที่เขาสามารถชนะใจของ Cheryl สาวออฟฟิศที่เขาแอบชอบ

แต่ได้แค่มอง และแอบส่องใน แอพหาคู่ เพราะเขาไม่สามารถเป็นผู้ชายในแบบที่

Cheryl ได้ในตอนแรก

.

ที่ผมเขียนเรื่องนี้ เพราะอยากให้หนังเรื่องนี้คอยย้ำเตือนตัวเราตอนนี้

ที่บางทีพอเรายิ่งโตขึ้นในทุกๆวัน ความฝันที่เราเคยมีอาจจะต้องทิ้งมันไป

เพราะเราจำเป็นต้องแบกภาระที่จำเป็นไว้ เพื่อคนรอบตัวที่เรารัก

.

จนบางทีสิ่งเหล่านั้นมันกลัดกินจิตใจเรา

ตัวตนของเรา ให้เดินทางในเส้นที่มันควรต้องเดิน

จนบังเอิญ ตัวเรานั้นกลายเป็นแบบนั้นเองโดยปริยาย

.

บางทีการที่เราหวนคืนความสุขในวัยเด็ก

ได้กลับไปคิดถึงเรื่องราวที่น่าอายตอนเด็ก

เรื่องเจ๋งๆที่เราได้ทำไว้แล้วมีความสุขที่สุด

คงเป็นสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด

ในวันที่เครียดและต้องทนกับชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายของเรา

.

และบางครั้งสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เราอยากหวนคืนกลับไปในช่วงนั้น

ช่วงที่มีความสุขที่สุด ได้อยู่พบกับครอบครัวของเรา

ได้ทำในสิ่งที่เรารักและมีความสุขที่สุด

.

แม้ว่าในความเป็นจริงอาจจะทำไม่ได้แบบนั้นเหมือนเดิมเป๊ะๆ

แต่อย่างน้อยแค่เราได้ลองทำสิ่งเล็กๆในวันนั้นที่เราเคยทำ

เอามาเพิ่มในวันนี้ก็คงเพียงพอแล้ว

.

บางทีการกระทำที่ทำให้เราเปลี่ยนแปลงอาจจะไม่ใช่ทั้งการหวนคืนอดีต

การได้ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่เพื่อการเปลี่ยนแปลง

.

แต่การเปลี่ยนแปลงของเรานี้มันก็เริ่มทำได้จากการทำสิ่งเล็กๆ

อย่างสม่ำเสมอในทุกๆวันต่างหาก ที่จะทำให้ตัวเรานั้น

เปลี่ยนกลับไปใกล้เคียงกับสิ่งที่เราค้นหาได้

———————–

เรียบเรียง : รณกฤต คุณชัยมัง

บันทึกของนายวิน