เมื่อชีวิตถูกสิ่งรอบตัวกดดันตัวเราให้เป็นในแบบที่ควรเป็น จนเราลืมความสุขและตัวตนเราบางส่วนในวัยเด็ก
สิ่งสวยงามไม่เคยเรียกร้องความสนใจ
ประโยคสะกดใจที่น่าจดจำได้ในหนังเรื่อง The Secret Life of Walter Mitty
หนังครบรสที่ดูเผินๆอาจจะดูตลก แต่แฝงไปด้วยความดราม่าเล็กๆ
พร้อมการผจญภัยที่ทำให้ชายวัยกลางคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งได้
สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวเขา
และตัวตนในวัยเด็กของเขาอีกครั้ง
.
หนังเรื่องนี้พูดถึงชีวิตของชายวัยกลางคน ที่ชื่อว่า Walter Mitty(วอลเตอร์ มิตตี้)
ที่ชีวิตสุดแสนจะธรรมดาแต่ตัวเองไม่ธรรมดา
แต่ที่ต้องเดินตามวัฏจักรของมนุษย์เงินเดือนมาหลายกว่า 10 ปี ในตำแหน่งหน้าที่
พนักงานล้างฟิล์ม เมื่อตอนที่คุณพ่อเสียชีวิต
เขาจึงจำเป็นต้องรับหน้าที่หัวหน้าครอบครัว โดยกลับมาใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดา
ทำงานธรรมดาตามแนวทางมนุษย์เพื่อหารายได้เลี้ยงชีพแก่แม่แล้วก็น้องสาวของตัวเอง
.
เหตุเกิดจากรูปภาพที่ 25
จุดเปลี่ยนของชีวิตของเขาได้เริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเขาต้องตามหาภาพที่ 25 ของบริษัทที่หายไป
เพื่อลงนิตยสารฉบับสุดท้ายก่อนที่จะเปลี่ยนโฉมใหม่เป็นนิตยสารออนไลน์ ทำให้เขาต้องเดินทาง
เพื่อตามหา Sean O’ Connell (ฌอน โอคอนเนลล์) ผู้บริหารและช่างภาพ ที่เขาเองก็ไม่เคยเจอตัวเป็นๆเลยสักครั้ง
ตลอดหลายปีของการทำงานของเขา
.
การเปลี่ยนแปลงเริ่มจากการเดินทาง
.
ในการเดินทางเพื่อตามหาภาพที่ 25 ในครั้งนี้ ทำให้ตัวเขาได้เดินทางไปที่ ที่เขาไม่ได้เคยไป
ได้เจออุปสรรคท้าทายใหม่ๆ และ ทำให้เขาต้องก้าวข้าม Comfort Zone ของตัวเองอีกครั้ง
เพราะต้องการพบ Sean O’ Connell เพื่อต้องการหาเบาะแสของภาพที่ 25 ที่เขาเป็นคนถ่าย
.
สุดท้าย ภาพที่ 25 ที่เขาตามหามาตั้งนานนั้น กลับอยู่ในกระเป๋าที่ฌอนเป็นคนให้มาตั้งแต่แรกเสียเอง
อย่างไรก็ตาม เขาก็โดนไล่ออกจากการปรับตัวของบริษัทนี้อยู่ดี ไม่ว่าจะทุ่มเทเดินทางเพื่อหาภาพที่ 25
มาเป็นปกนิตยสารฉบับสุดท้าย
แม้ว่าการเดินทางตามหาภาพในครั้งนี้จะส่งผลให้ตัวเขาต้องโดนไล่ออกจากนิตยสาร Life
ที่เขาทำงานเป็นเวลานาน แต่การเดินทางในครั้งนี้ “ มันไม่เคยสูญเปล่า “
.
ในการเดินทางครั้งนี้ มันทำให้เขาได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ
และ อะไรที่เคยทำแล้วแต่ไม่ได้ทำมานานอีกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นการกระโดดจากเฮลิคอปเตอร์ แล้วต้องต่อสู้กับฉลามระหว่างไปกรีนแลนด์
การเล่นสเกตบอร์ดในระยะทางที่ตามหาฌอนในไอซ์แลนด์
แล้วหนีจากภูเขาไฟระเบิด
.
จบด้วยการที่ต้องเดินฝ่าภูเขาหิมะ เพื่อไปหา
ฌอนที่ถ่ายรูปเสือดาวหิมะที่ปากีสถาน
.
สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาได้เดินออกจาก Comfort Zone อีกครั้งหนึ่ง
ทำให้เขาได้กลับไปหวนคืนความจำในวัยเด็กที่ไว้ทรงโมฮ็อก
แล้วก็คลั่งสเกตบอร์ดมาก ก่อนที่พ่อเขาจะเสีย
แล้วอะไรหลายๆอย่างก็ได้เปลี่ยนไป ด้วยการสวมบทบาทหัวหน้าครอบครัว
จนบางทีก็หลงลืมตัวเองและความสุขในวัยเด็กในบางส่วนไปปริยาย
.
นี่ยังไม่รวมถึงการที่เขาสามารถชนะใจของ Cheryl สาวออฟฟิศที่เขาแอบชอบ
แต่ได้แค่มอง และแอบส่องใน แอพหาคู่ เพราะเขาไม่สามารถเป็นผู้ชายในแบบที่
Cheryl ได้ในตอนแรก
.
ที่ผมเขียนเรื่องนี้ เพราะอยากให้หนังเรื่องนี้คอยย้ำเตือนตัวเราตอนนี้
ที่บางทีพอเรายิ่งโตขึ้นในทุกๆวัน ความฝันที่เราเคยมีอาจจะต้องทิ้งมันไป
เพราะเราจำเป็นต้องแบกภาระที่จำเป็นไว้ เพื่อคนรอบตัวที่เรารัก
.
จนบางทีสิ่งเหล่านั้นมันกลัดกินจิตใจเรา
ตัวตนของเรา ให้เดินทางในเส้นที่มันควรต้องเดิน
จนบังเอิญ ตัวเรานั้นกลายเป็นแบบนั้นเองโดยปริยาย
.
บางทีการที่เราหวนคืนความสุขในวัยเด็ก
ได้กลับไปคิดถึงเรื่องราวที่น่าอายตอนเด็ก
เรื่องเจ๋งๆที่เราได้ทำไว้แล้วมีความสุขที่สุด
คงเป็นสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด
ในวันที่เครียดและต้องทนกับชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายของเรา
.
และบางครั้งสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เราอยากหวนคืนกลับไปในช่วงนั้น
ช่วงที่มีความสุขที่สุด ได้อยู่พบกับครอบครัวของเรา
ได้ทำในสิ่งที่เรารักและมีความสุขที่สุด
.
แม้ว่าในความเป็นจริงอาจจะทำไม่ได้แบบนั้นเหมือนเดิมเป๊ะๆ
แต่อย่างน้อยแค่เราได้ลองทำสิ่งเล็กๆในวันนั้นที่เราเคยทำ
เอามาเพิ่มในวันนี้ก็คงเพียงพอแล้ว
.
บางทีการกระทำที่ทำให้เราเปลี่ยนแปลงอาจจะไม่ใช่ทั้งการหวนคืนอดีต
การได้ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่เพื่อการเปลี่ยนแปลง
.
แต่การเปลี่ยนแปลงของเรานี้มันก็เริ่มทำได้จากการทำสิ่งเล็กๆ
อย่างสม่ำเสมอในทุกๆวันต่างหาก ที่จะทำให้ตัวเรานั้น
เปลี่ยนกลับไปใกล้เคียงกับสิ่งที่เราค้นหาได้
———————–
เรียบเรียง : รณกฤต คุณชัยมัง
บันทึกของนายวิน