จาก Web Portal แห่งแรก สู่การเป็นผู้นำด้านเอนเตอร์เทนเมนต์แพลตฟอร์ม และโซลูชันเทคโนโลยีชั้นนำของไทย
แน่นอนว่าคนที่เติบโตมาในยุค 90’s ซึ่งเป็นยุคก่อนที่โลกของเราจะเข้าสู่ยุคโซเชียลมีเดียอย่างเต็มตัว คงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับการใช้ชีวิตออนไลน์บน Web Portal ซึ่งหนึ่งใน Web Portal ที่ทุกคนต่างต้องเคยเข้ามาแล้ว นั่นก็คือ Sanook.com
Sanook เป็นเว็บไซต์ยอดนิยมที่คนไทยใช้มายาวนาน เรียกได้ว่าอยู่คู่กับสังคมอินเทอร์เน็ตของประเทศไทย มาตลอด 22 ปี จนถึงวันนี้ Sanook ยังคงยืนหยัด และยังเป็นเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ที่มีผู้เข้าใช้เป็นอันดับ 1 ด้วยจุดเด่นในการนำเสนอคอนเทนต์โดนใจ และตอบโจทย์ความสนใจคนไทยในทุกยุคทุกสมัยมาโดยตลอด
และในปี 2010 ที่ผ่านมา นับเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การเดินทางของ Sanook ยิ่งเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด เมื่อ Sanook ไปเข้าตาบริษัทขนาดยักษ์จากแดนมังกรอย่าง Tencent จนได้เข้ามาร่วมลงทุน และบริหารอย่างเป็นทางการ เพื่อให้ Sanook เป็นรากฐานในการสร้างเครือข่ายธุรกิจในไทยต่อไป
สำหรับ Tencent หลายๆ คนคงทราบกันดี ว่า Tencent เป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ที่มีสินค้าและบริการมากมาย เมื่อมาลงทุนในประเทศไทย ก็เริ่มต้นจาก เว็บไซต์ Sanook หลังจากนั้นก็มีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบัน เทนเซ็นต์ ประเทศไทย ถือว่าเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ให้บริการเอนเตอร์เทนเมนต์แพลตฟอร์ม และโซลูชันด้านเทคโนโลยีชั้นนำของไทย ซึ่งมี Product ที่ฮิตติดตลาดมากมาย ไม่ว่าจะเป็น JOOX PUBG MOBILE หรือ WeTV ซึ่งเชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยใช้กันมาไม่ต่ำกว่า 1 แพลตฟอร์มอย่างแน่นอน
วันนี้ทาง BrandThink จึงหาโอกาสมาพูดคุย กับผู้บริหารที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างการเติบโตให้กับเทนเซ็นต์ ประเทศไทย นั่นคือ คุณอ้น – กฤตธี มโนลีหกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จำกัด (Tencent Thailand) และได้ซักถามถึงเส้นทางการขยายอาณาจักรของ เทนเซ็นต์ ประเทศไทย ตั้งแต่จุดเริ่มต้น จนครบหนึ่งรอบทศวรรษของการลุยตลาด จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้ให้บริการเอนเตอร์เทนเมนต์แพลตฟอร์ม และโซลูชันด้านเทคโนโลยีชั้นนำของไทยอย่างเต็มตัวในปัจจุบัน
“ตอนนั้น Tencent ต้องการขยายตลาดนอกประเทศจีน ก็เห็นว่า Sanook เป็นแพลตฟอร์มคอนเทนต์ที่มีรูปแบบธุรกิจคล้ายๆ กัน อีกทั้งประเทศไทยยังเป็นเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นตลาดที่เฟรนด์ลี่…”
ก่อนหน้าที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย Tencent ทำธุรกิจเกี่ยวกับการวางระบบคอมพิวเตอร์ และเครือข่าย รวมถึงแพลตฟอร์มสื่อสารอย่าง QQ messenger และเว็บไซต์ QQ.com รวมถึงมีการลงทุนกับธุรกิจเกม สื่อ Entertainment และเทคโนโลยีมากมาย โดยเมื่อ 10 ปีก่อน Tencent ได้เริ่มขยายธุรกิจนอกประเทศจีน ด้วยการเข้าลงทุนใน Sanook นั่นคือจุดเริ่มต้นของ Tencent ในประเทศไทย
จนกระทั่งในปี 2016 ได้เปลี่ยนชื่อจาก Sanook.com เป็น บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Tencent Thailand และปรับลุค Sanook มาเป็นเว็บไซต์ข่าวที่เน้นด้าน Entertainment เป็นหลัก รวมถึงในปีเดียวกันได้เปิดตัว JOOX มิวสิคสตรีมมิ่งแอปพลิเคชันที่มาช่วยแก้ Pain Point การฟังเพลงของคนไทย
จากนั้น เทนเซ็นต์ ประเทศไทย ก็ค่อยๆ นำธุรกิจอื่นๆ เข้ามาเจาะตลาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ PUBG MOBILE สุดยอดเกมแนว Survival แห่งปีที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก และนำแพลตฟอร์ม VDO Streaming ที่มีทั้งดูภาพยนตร์ รายการวาไรตี้ และซีรีส์ของไทย และต่างประเทศอย่าง WeTV เข้ามาชิงตลาด ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ Tencent Video ได้ขยายธุรกิจนี้มานอกประเทศจีน และในปี 2019 ได้เดินหน้าแตกไลน์ลุยธุรกิจกลุ่ม B2B ด้วยการนำ Tencent Cloud แพลตฟอร์มให้บริการระบบปฏิบัติการคลาวด์ระดับเวิลด์คลาส มาเปิดให้บริการในประเทศไทย รวมถึงล่าสุดในปี 2020 ได้เข้าลงทุนใน OokBee Comics แพลตฟอร์มชุมชนการ์ตูนออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และได้เปลี่ยนชื่อเป็น WeComics
ทำให้ปัจจุบัน “เทนเซ็นต์ ประเทศไทย” เป็นผู้นำในฐานะผู้ให้บริการเอนเตอร์เทนเมนต์แพลตฟอร์มที่หลากหลาย และครอบคลุมที่สุดในประเทศไทย ซึ่งมีทั้งแพลตฟอร์มข่าวสาร เกม ภาพยนตร์ ซีรีส์ เพลง และการ์ตูน ทั้งยังเป็นผู้ให้บริการโซลูชันคลาวด์ที่ครบวงจร ตอบโจทย์ความต้องการในทุกๆ อุตสาหกรรม
“Tencent Cloud เป็นอีกโปรดักท์ไฮไลท์ที่เราเชื่อว่าจะเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนทุกภาคส่วนในอนาคต โดยเฉพาะการระบาดของโควิด-19 มาเป็นตัวเร่งให้ทุกๆ อุตสาหกรรมต้องนำธุรกิจ และบริการของตัวเองเข้ามาอยู่บนโลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ”
คุณอ้น กล่าวต่อว่า “Tencent Cloud นั้นแตกต่างจากโปรดักท์อื่นๆ ที่เน้นสื่อสารกับผู้บริโภคทั่วไป หรือ B2C แต่ Tencent Cloud ถือเป็นโซลูชันทางเทคโนโลยี ที่มาตอบโจทย์โลกธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรม และช่วยสนับสนุนให้องค์กรต่างๆ ก้าวผ่านสู่ระบบดิจิทัลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อาจจะเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างใหม่กับตลาดประเทศไทย แต่เชื่อว่าเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างแน่นอน”
ด้วยแนวทางธุรกิจที่ขยายครอบคลุมแพลตฟอร์ม Entertainment ซึ่งมีฐานลูกค้าเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงความชอบ และพฤติกรรมในการเสพคอนเทนต์อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแกนสำคัญในการดำเนินธุรกิจของ Tencent คือ “ความเร็ว” ในการตามเทรนด์ และผู้บริโภคให้ทัน ซึ่งคุณอ้นเล่าให้เราฟังว่า “ด้วยแพลตฟอร์มในมือของเราที่ครบวงจร และยังมีคลาวด์ โซลูชัน และเทคโนโลยีต่างๆ เป็นตัวช่วย ที่ทำให้เราสามารถรองรับปริมาณการใช้งาน รวมถึงการสร้าง Innovation ใหม่ๆ ให้กับแพลตฟอร์มของเรา รวมถึงสามารถเก็บข้อมูลการใช้งานบนแพลตฟอร์มได้แบบ Real Time และจับกระแสความนิยมของผู้ใช้งานผ่านสถิติตัวเลขว่าอะไรคือสิ่งที่กำลัง ‘มา’
รวมถึงทุกแพลตฟอร์มภายใต้ เทนเซ็นต์ ประเทศไทย ยังสร้างความแตกต่าง ด้วยการพยายามสื่อสารกับกลุ่มผู้ใช้งานผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย และคอมมูนิตี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคจริงๆ รวมถึงมีการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น แข่งขันเกม คอนเสิร์ต เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ใช้งานอยู่เสมอ
แต่กว่า เทนเซ็นต์ ประเทศไทย จะเดินทางมาถึงจุดที่ขยายเครือข่ายธุรกิจได้ขนาดนี้ย่อมไม่ง่าย…
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา คุณอ้นชี้ให้เห็นว่าโลกและการบริหารธุรกิจนั้นเปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะโลกเทคโนโลยีที่ไม่ได้พึ่งพาคอมพิวเตอร์เป็นหลักเหมือนเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ปัจจุบันทุกอย่างต้องคิดถึงการใช้งานบนสมาร์ทโฟนก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ใช่เว็บไซต์ แต่เป็นแอปพลิเคชัน แถมพฤติกรรม และวิถีชีวิตของผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงไปแบบรวดเร็วมาก
ที่ผ่านมา อุปสรรค และความเปลี่ยนแปลงที่ เทนเซ็นต์ ประเทศไทย ต้องเจอ ถือเป็นความท้าทาย ซึ่งทำให้เราต้องปรับตัว หรือเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วกว่าคนอื่น ทั้งในรูปแบบคอนเทนต์ เทคโนโลยี รวมถึงโมเดลในการสร้างรายได้ อย่างในอดีตที่เรามีรายได้จากโฆษณาเป็นหลัก ตอนนี้ทุกแพลตฟอร์มสามารถสร้างรายได้โดยตรงกับลูกค้า เช่น การซื้อ VIP เพื่อดูซีรีส์ หรือฟังเพลง ไปจนถึงซื้อ Coin เพื่อนำมาใช้บนแพลตฟอร์ม เช่น อัปเลเวลเกม ส่งของขวัญให้ศิลปิน เป็นต้น นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่คุณอ้นมองเห็น คือ โลกเทคโนโลยีเปลี่ยน คนทำงานก็เปลี่ยนเช่นกัน ตอนนี้มีคนทำงานเฉพาะด้านที่ถนัดเรื่องเทคโนโลยีมากขึ้น เรียกได้ว่าเราได้คนเหล่านี้มาเพิ่มศักยภาพ และขีดความสามารถของการทำงานให้ไปไกลกว่าเดิม ทั้งในมุมการขับเคลื่อนธุรกิจ และการขับเคลื่อนประเทศไทย
และไม่ได้ไปไกลแค่ในประเทศไทยเท่านั้น…
เมื่อเราถามถึงภาพอนาคตในอีก 10 ปีข้างหน้าของ เทนเซ็นต์ ประเทศไทย คุณอ้นกล่าวว่า “ไม่ต้องถึง 10 ปี ในอีก 2-3 ปีนี้ เราจะได้เห็นภาพ เทนเซ็นต์ ประเทศไทย ก้าวเป็นผู้เล่นในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เต็มตัว โดยมีประเทศไทยเป็น Hub ในการนำแพลตฟอร์ม Entertainment และโซลูชันคลาวด์ ขยายไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งปัจจุบันเราเริ่มขยายธุรกิจ และมีการตั้งออฟฟิศที่ประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซียแล้ว เป้าหมายในอนาคตจะขยายธุรกิจให้ครอบคลุมทั่วอาเซียน โดยจะปรับรูปแบบธุรกิจให้เหมาะสมกับผู้คนไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค วัฒนธรรม และสังคมของแต่ละพื้นที่”
เบื้องหลังความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจตลอด 10 ปีที่ผ่านมา คือ ต้องมีเป้าหมาย และความเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง
“เราเป็นบริษัทที่ปรับเปลี่ยนตัวเองไปเรื่อย ๆ และเราตั้งเป้าหมายไว้สูง เพราะผมเชื่อว่า หากเราก้าวไปได้ 50% ของความสูงที่ตั้งไว้ ย่อมดีกว่าการก้าวไปได้ 100% ของเป้าหมายที่ต่ำ และอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ทำให้เราสำเร็จถึงวันนี้ คือ เราเข้าใจลูกค้า อาจจะฟังดูทั่วไป แต่นี่ คือสิ่งที่สำคัญจริงๆ” คุณอ้นกล่าวทิ้งท้าย