ผมชอบขับรถเล่น ความเร็วเป็นสิ่งที่ผมรัก มันเป็นความรู้สึกอิสระและทำให้เกิดความสบายใจ งานอดิเรกที่ไม่น่าจะทำให้ใครเดือดร้อน นอกจากพ่อผมที่ต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าน้ำมัน…….. จนมาวันหนึ่งความคิดของผมก็เปลี่ยนไป หลังกลับจากบางขุนเทียน
ท่าจอดเรือซึ่งใช้เป็นที่รอรับลูกค้าเพื่อจะไปร้านอาหารกลางทะเล ซึ่งมีลักษณะเป็นแพขนาดใหญ่ มุงด้วยหลังคาใบจาก มีห้องน้ำสองห้องซึ่งฉาบด้วยปูน ประตูเป็นไม้บางๆ หลังจากที่ผมทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยและกำลังจะเดินไปที่รถ จังหวะเดียวกันนั้นเองมีเสียงหนึ่งถามผมว่า คุณ คุณ มาทำอะไร “ผมมาขับรถเล่นครับ” แล้วสนุกไหม “แถวนี้แย่เลยเนอะลุง หาปั๊มยากจริง ยังดีมาเข้าห้องน้ำที่นี่ได้ แต่ถ้าน้ำมันหมดนี่ท่าจะแย่” แย่สิ พฤติกรรมที่คุณทำน่ะแย่ ทำให้ชาวบ้านแถวนี้ต้องเดือดร้อน หนีน้ำท่วม พื้นที่อยู่ก็ลดลงทุกปีๆเนื่องจากการกัดเซาะชายฝั่ง และภัยพิบัติก็รุนแรงขึ้นทุกปีด้วย “เดี๋ยวๆๆ ลุง ผมไปเกี่ยวอะไรด้วยวะ” คุณก็ลองคิดดูสิว่ามันเกี่ยวยังไง “ผมนิ่งไปพักใหญ่”….
การมองแบบองค์รวม ที่เคยร่ำเรียนมา ก็ผุดขึ้นมาในหัว มันคือการหาความสัมพันธ์หรือความเกี่ยวข้องกันเมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไปของแต่ละสิ่ง จะโดยตรง หรือทางอ้อม อาจเกี่ยวข้องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะทุกสิ่งในโลกนี้เกิดขึ้นได้ ไม่แน่นอน แม้สิ่งที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันยังสามารถอธิบายโดยใช้ทฤษฏีความอลวน หรือการเปลี่ยนแปลงแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบ ได้ซึ่งท้ายสุดจะเข้าสู่สมดุลและสามารถหาความสัมพันธ์ที่มีแบบแผน ถ้าอธิบายให้ง่ายก็คือ ปัญหาของบางขุนเทียนคือ น้ำทะเลเพิ่มสูงน้ำท่วม การกัดเซาะชายฝั่งเพิ่มพื้นที่ใช้ประโยชน์ลดลง ภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้นไม่ว่าลม ฟ้าฝนหรือคลื่น ส่งผลต่อความปลอดภัยในชีวิตความเป็นอยู่ แล้วสิ่งเหล่านี้เกิดจากสาเหตุใด เมื่อลองแตกประเด็นวิเคราะห์ดู จะพบว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ แล้วอะไรทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้น ก็ปริมาณก๊าซเรือนกระจก แล้วก๊าซเรือนกระจกนั้นมาจากไหน ก็จากปลายท่อไอเสียของรถ รู้แล้วใช่ไหมว่าน้ำมัน ซึ่งมีส่วนประกอบเป็นพวกไฮโดรคาร์บอนเมื่อทำการสันดาปกับเครื่องยนต์ให้พลังงานและเกิดเจ้าค่าร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจก เจ้ากรรมต้นตอของปัญหานี้ เห็นไหมครับ พอมาตรองดีๆ การกัดเซาะชายฝั่ง ความรุนแรงของคลื่นลม นั้นเกี่ยวข้องกับการขับรถเล่นของผมอย่างยากที่จะปฏิเสธ
ยังไม่ทันจะได้บอกว่าเออ ลุงพูดถูก ลุงก็เสริมประเด็นใหม่ขึ้นมาอีก
ที่แย่ไปกว่านั้นคือไม่ได้มีคุณคนเดียวที่ใช้รถ แม้ประเทศของเราจะไม่ใหญ่ ไม่โต แต่จากยอดขายรถในปี 2563 ก็มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจำนวนรถรวมก็มากเป็นอันดับ 3 คุณรู้รึเปล่า
ผมยิ้มมุมปาก ไม่ได้ตอบอะไรไป แต่ยังคงคิด
“จะดีใจหรือเสียใจดีที่ประเทศเกษตรกรรมอย่างเรามีรถมากกว่าประเทศที่ร่ำรวยอย่างสิงคโปร์ หรือประเทศที่ประชากรมากกว่าเราเกือบ 4 เท่าอย่างอินโดนีเซีย”
ที่ยิ่งน่าตกใจกว่านะ เขาพูดแทรกขึ้น…..จำนวนยอดขายรรวมปีนี้ เพิ่มขึ้น 14.5 โอ้แม่เจ้ารวยกันจริงประเทศเรา ขนาดเศรษฐกิจเป็นแบบนี้
“ บางขุนเทียนแย่แล้ว” ผมคิดในใจแต่ยังไม่ทันได้เอ่ย
เสียงเขาพูดต่อ “แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าสิ่งแย่สุดๆก็คือ คาร์บอนที่ทำให้เกิดปัญหากับบางขุนเทียนตอนนี้เป็นคาร์บอนเมื่อ 15-20ปีก่อนที่พึ่งจะมาออกฤทธิ์ออกเดชให้พวกเราเห็นกัน น่าเศร้าที่ตอนนั้น เรายังมีรถอยู่ไม่ถึงสองล้านคัน และไม่ได้ใช้เชื้อเพลิงในการคมนาคมขนส่งมากขนาดนี้ คุณว่าจริงไหม
“ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเจ้าคาร์บอนรุ่นใหม่ขึ้นไปถึงยังชั้นบรรยากาศที่จะแผ่พิษสงแล้ว บางขุนเทียนจะเป็นอย่างไร คงไม่เหลือร้านอาหารไว้ให้ทำโรแมนติก กินลมชมวิวเป็นแน่ น่าแปลกมากที่เราไม่เคยคิดเชื่อมโยงว่าวิถีชีวิตของเราจะไปทำร้ายคนอื่น อาจจะเพราะมันไกลตัวเรา บ้านเราไม่ได้อยู่ตรงนี้กระมังจึงไม่ได้คิด”
ชายผู้นี้เป็นใคร หลังยืนคุยกันพักหนึ่งผมก็ได้จังหวะถาม
“ลุงอยู่แถวนี้หรือครับ ไม่ใช่แต่ผมเกิดที่นี่ ปู่ย่าตายาย เคยตั้งรกรากอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้ไปอยู่นครชัยศรีแล้ว ผมเคยทำงานอยู่แถวนั้นแต่ทุกเสาร์-อาทิตย์จะกลับมาที่นี่”
“มาทำอะไรครับ อย่าบอกนะว่ามาเที่ยว”
ไม่หรอกผมก็มาเปลี่ยนแปลงความคิดคนอย่างคุณไง ผมเคยเป็นอาจารย์มหาลัยตอนนี้เกษียณแล้ว มาเป็นประธานมูลนิธิบางขุนเทียนยั่งยืน
“ทำเกี่ยวกับอะไร”
ก็ทำให้ชาวบ้านที่บางขุนเทียนนั้นใช้ชีวิตได้อย่างยั่งยืนต่อไปตามชื่อไง
“ถึงกับต้องเปิดมูลนิธิเชียวรึ”
ก็อย่างที่รู้ จะหวังพึ่งรัฐคงอยาก เพราะเขาแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เห็นไม้ไผ่บนลำเรือนโน่นไหม นั้นหนะรัฐเขาใช้งบซื้อมา แล้วจ้างชาวบ้านเอาไปปักเป็นแนวกันคลื่น ลม และลดการกัดเซาะ
“แล้วมันจะอยู่ได้นานเท่าไหร่”
ก็นั้นนะซิ แล้วที่แย่กว่านั้นคือความยาวไม่พอ เห็นไหม ปักไปแล้ว โผล่มานิดเดียว
“เอ๋ ทำไมเขาไม่สั่งไม้ให้ขนาดมันยาวพอ”
ปัญหาเดิมๆนั้นแหละไอ้หนุ่ม ตอนสั่งไปก็ยาวดีพอเอามาส่งก็อย่างที่เห็น ไม้ไผ่มันหดตัวสงสัยอากาศจะหนาว
“ลุงนี่ตลกนะ กินหัวคิวกันจนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรของบ้านเมืองเราไปแล้ว”
นี่พวกนั้นเขายังเคยคิดจะทำโครงการปลูกโกงกางเป็นแนวกันคลื่นเลยนะ แต่ดีเพื่อนของลุงอยู่ในคณะกรรมการชุดนั้นด้วยเลยค้านได้ก่อน ไม่งั้นคงผลาญงบกันเปรมเลย
“อ้าวลุง ทำไมทำแนวธรรมชาติกันคลื่นก็ดีสิ”
แล้วคิดเหรอว่ากล้าไม้ที่เราเอาไปปลูกมันจะทนแรงน้ำได้ ขนาดต้นอายุ 20-30 ปีรากลึกตั้ง 2-3 เมตรยังเอาไม่อยู่เลยนับประสาอะไรกับกล้าไม้ที่รากยาว หนึ่งไม้บรรทัด คิดดูปลูกตอนเช้าอีกวันก็หายแล้ว
“ก็จริงของลุง”
รีบกลับไหมละลุงจะพาไปดูอะไร แต่ต้องออกเรือไปนะ
“ได้ครับไม่มีปัญหา”
เรือแล่นออกไปท่ามกลางสองฝั่งของคลองขุนราชพินิจใจ ผ่านบ้านคน ซากบ้านร้าง โกงกางและแสมที่ล้ม และยืนต้นตายจากแรงลมและความแรงของคลื่นที่ซัดมากระทบ ไม่นานนักเรือก็แล่นไปถึงหลักเขตกรุงเทพมหานครซึ่งอยู่กลางทะเลห่างจากฝั่งเกือบหนึ่งกิโล
“ตรงนี้เมื่อก่อนเคยเป็นที่อยู่อาศัย”
ใช่สิ รู้ไหมหนุ่ม ทุกปีน้ำทะเลจะกัดเซาะชายฝั่งประมาณ 2.0-2.5 เมตร ตลอดแนวชายฝั่งของกรุงเทพ 4.2 กิโลเมตร แล้วพวกชาวบ้านจะอยู่ไปได้นานเท่าไหร่ เห็นนั้นไหม ประตูบ้านนะ ไม่ใช่ประตูน้ำ แล้วนั้นก็ศาลเจ้าอยู่ซะปริ่มน้ำเชียว
ไม่เพียงกัดเซาะ แต่ปริมาณน้ำก็ยังเพิ่มขึ้นทุกปี ปัญหาไม่ได้อยู่ที่จะทำอย่างไรให้พื้นที่บางขุนเทียนยังอยู่ แต่จะทำอย่างไรให้คนบางขุนเทียนใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างยั่งยืน
“ผมเข้าใจละ ในเมื่อไม่สามารถจะอยู่ในพื้นที่นี้ต่อไปได้ ก็เลยแก้ปัญหาด้วยการตั้งมูลนิธิเพื่อเก็บเงินเป็นทุนในการอพยพไปยังพื้นที่ใหม่”
ถูกต้องตอนนี้เรากำลังบริหารจัดการพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือเป็นแหล่งท่องเที่ยว ทำข้อตกลงกับโรงแรม และบริษัทนำเที่ยวพานักท่องเที่ยวมารับประทานอาหาร และล่องเรือชมความเปลี่ยนแปลง ให้ความรู้กับนักท่องเที่ยวเพื่อให้เกิดความตระหนักว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยลดความรุนแรงของปัญหาได้ และอีกส่วนเป็นพื้นที่ศึกษาหาความรู้ โดยร่วมมือกับหลายมหาวิทยาลัยเพื่อของบประมาณจากสภาวิจัยแห่งชาติ ในการศึกษาและติดตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง หรืออาจทำพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เปรียบเทียบให้เห็นว่าสมัยก่อนและปัจจุบันมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป
“แล้วทำไมลุงไม่ทำโครงการของบกับรัฐละ”
ก็เขาไม่รู้จักวิสัยทัศน์ไง ขอไปก็ใช่ว่าจะได้ ….เขามองแต่วันนี้ เกิดปัญหาอะไรขึ้นก็แก้ไปก่อน ไม่มองอนาคต ลองคิดดูถ้ารัฐช่วยหาพื้นที่ตอนนี้ ชาวบ้านย้ายไป ยังเอาโครงสร้างบ้านหรือขนของไปใช้ต่อได้ แต่ถ้าเกิดพิบัติภัยขึ้นจริง รัฐต้องเร่งหาที่อยู่ให้ชาวบ้าน ราคาที่ดินจะขึ้นไหม แล้วมูลค่าความเสียหายละ ชาวบ้านต้องทิ้งทุกอย่างไว้ เขาไม่คิด อย่างนี้เขาเรียกว่าเสียสองต่อ
“แล้วลุงคิดว่าต้องเก็บเงินอีกสักกี่ปีละจะยายชาวบ้านออกไปได้ครบ”
ก็น่าจะอีกหลายปี
“แล้วมันจะทันเหรอครับ”
ทำไงได้เราไม่มีทางเลือก นี่ก็ดีที่สุดที่เราทำได้แล้ว ผมจะช่วยลุงอีกแรงนะ แต่ไม่รับปากว่าจะช่วยได้ไหม ลุงรับรู้ถึงน้ำเสียงที่จริงใจและยิ้มมุมปากเล็กน้อย ขอบใจมากนะได้หนุ่ม
Ferrari 250TR ป้ายทะเบียน ก 999 ค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ พร้อมความมุ่งมั่นที่อยู่ในใจ