หลังจากการชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลเริ่มมีมากขึ้น ข่าว “ปิดสื่อ” ก็เริ่มหนาหู ตั้งแต่สื่อออฟไลน์และออนไลน์ในประเทศ จนถึงสื่อออนไลน์ต่างประเทศ
ประเด็นเรื่อง “เสรีภาพสื่อ” กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้งครั้งหลังจากไม่ได้ยินมานาน
ว่าแต่ ใครเคยสงสัยบ้างไหมว่า “เสรีภาพสื่อ” ที่ว่านี้ อ้างบนฐานของอะไร และมีที่มาอย่างไร?
1.
ตอบแบบกำปั้นทุบดิน ถ้าจะอ้างอิงรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด พ.ศ. 2560 ในมาตรา 35 ระบุว่า
“บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร หรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
“การสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นเพื่อลิดรอนเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง จะกระทํามิได้…”
ดังนั้น ฐานอ้างอิงเสรีภาพสื่อมาจากรัฐธรรมนูญแน่นอน แต่ถ้ามองในบริบทสังคมไทย นี่คือหนึ่งในหลักเสรีภาพที่เข้ามาในระบบกฎหมายไทยแบบงงๆ เช่นเดียวกับเสรีภาพจำนวนมากที่คนไม่รู้ว่า เสรีภาพนี้มีที่มาอย่างไร
2.
“เสรีภาพสื่อ” เป็นเสรีภาพที่เกิดใหม่พอสมควร ไม่ได้เก่าแก่เหมือนความคิดเรื่องเสรีภาพเหนือชีวิตและทรัพย์สิน
แต่ถึงแม้เสรีภาพสื่อจะ “เกิดใหม่” ก็ยังเก่าแก่กว่า “ระบบประชาธิปไตย” ที่เรารู้จักทุกวันนี้
ในโลกยุคโบราณ เรื่อง “เสรีภาพสื่อ” ยังไม่เป็นที่พูดถึง เพราะยุคนั้นไม่มี “สื่อ” กว่าคำนี้จะเป็นประเด็นก็ยุคหลังปฏิวัติการพิมพ์ ช่วงกลางศตวรรษที่ 15
3.
การปฏิวัติการพิมพ์ทำให้เกิด “สิ่งพิมพ์” จำนวนมหาศาลแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์โลก
จากโลกที่ในหนึ่งปีมีการผลิตหนังสือเพียงหลักพันหลักหมื่นเล่ม กลายมาเป็นโลกที่ผลิตหนังสือหลักล้านเล่มในเวลาไม่นาน
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ในช่วงแรกของการปฏิวัติการพิมพ์ ไม่มีใครพูดเรื่อง “เสรีภาพสื่อ” เพราะในทางปฏิบัติ การพิมพ์ในตอนแรกไม่ได้สั่นสะเทือนสังคมการเมืองเท่าไร
หากใครนึกภาพไม่ออก ลองนึกถึงยุคแรกของอินเทอร์เน็ต ก็ไม่มีใครพูดเรื่องการปิดเว็บ การทำซิงเกิลเกตเวย์ ฯลฯ เพราะเรื่องทำนองนี้ คนจะพูดต่อเมื่อ “สื่อเกิดใหม่” มีศักยภาพในการสร้างความท้าทายทางการเมือง
เช่นเดียวกัน การปฏิวัติการพิมพ์ช่วงแรกก็เป็นไปได้อย่างราบรื่น ใครใคร่พิมพ์อะไรก็พิมพ์ จนกระทั่งช่วงปฏิรูปศาสนาที่เริ่มราว 100 ปีหลังปฏิวัติการพิมพ์
4.
การปฏิรูปศาสนา ถ้าจะอธิบายในบริบทการปฏิวัติการพิมพ์แล้ว การพิมพ์คือเทคโนโลยีการพิมพ์ที่เกิดใหม่มาเพื่อท้าทายศาสนจักร และท้าทายทางการเมืองไปพร้อมกัน
เพราะเมื่อ 500 ปีก่อน รัฐกับศาสนานั้นแทบจะเป็นสิ่งเดียวกัน และศาสนาก็มีส่วนสำคัญในการควบคุมคนในระดับชีวิตประจำวัน
ดังนั้นในแง่นี้ การท้าทายศาสนาจึงเป็นการท้าทายรัฐ เพราะใครที่ปฏิเสธศาสนา ก็เท่ากับปฏิเสธอำนาจรัฐไปด้วย
ถามว่า “การพิมพ์” เกี่ยวอะไร?
คำตอบคือเกี่ยวตั้งแต่การพิมพ์คัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาถิ่นให้คนทั่วไปอ่านได้ ไปจนถึงการพิมพ์ “หนังสือศาสนา” จำนวนมากที่มีคำสอนต่างออกไปจากศาสนจักร นี่คือสิ่งที่เกิดใหม่ในประวัติศาสตร์หลังปฏิวัติการพิมพ์ และเป็นการ “ท้าทายรัฐ” ทั้งสิ้น
ผลก็คือรัฐที่ไม่เคย “ควบคุมสื่อ” มาก่อนในประวัติศาสตร์ก็เริ่ม “ควบคุมสื่อ” และวิธีการควบคุมก็คือการตั้ง “กองเซ็นเซอร์”
หน้าที่กองเซ็นเซอร์ในเวลานั้นคืออ่านหนังสือทุกเล่มก่อนที่จะพิมพ์เผยแพร่ เพื่อตรวจสอบว่าในหนังสือมีเนื้อหาที่สอนให้คนกระด้างกระเดื่องต่อรัฐหรือไม่
5.
“กองเซ็นเซอร์” เป็นสถาบันของรัฐที่ดำรงอยู่ตลอดการปฏิรูปศาสนา 200 กว่าปี ซึ่งสุดท้าย การปฏิรูปศาสนาก็จบลงพร้อมๆ กับการเกิดขึ้นของ “เสรีภาพสื่อ”
พูดอีกแบบคือแนวคิดเรื่อง “เสรีภาพสื่อ” เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการจบสิ้นของกองเซ็นเซอร์สิ่งพิมพ์ทั้งหลาย ในช่วงปฏิรูปศาสนานั่นเอง
คำถามคือ ทำไมการจบลงการปฏิรูปศาสนา ถึงนำมาสู่การจบลงของกองเซ็นเซอร์?
การจะตอบคำถามนี้ต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของกองเซ็นเซอร์ นั่นคือกองเซ็นเซอร์มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเผยแพร่แนวคิดทางศาสนาที่นอกลู่นอกทาง
การปฏิรูปศาสนาจบสิ้นลงเท่ากับการจบลงของการปราบปราม “ผู้มีความเชื่อที่ต่างกัน” กล่าวอีกแบบคือ การแยกศาสนาออกจากรัฐ หรือการที่รัฐให้คำมั่นว่าประชาชนที่อยู่ในรัฐ จะนับถือศาสนาอะไร นิกายใดก็ได้ ซึ่งมิตินี้ชัดมากในรัฐธรรมนูญอเมริกาส่วนการแก้ไขครั้งแรก หรือที่เรียกกันกว่า First Amendment
ทุกวันนี้ คนทั่วไปจดจำ First Amendment ว่าเป็นเรื่องเสรีภาพทางการแสดงออก ทั้งที่จริงๆ ตัวบทระบุว่า
“สภาคองเกรสจะไม่ออกกฎหมายเกี่ยวกับการก่อตั้งศาสนา หรือการนับถือศาสนาใดๆ หรือลดทอนเสรีภาพในการแสดงออกหรือสื่อ หรือสิทธิในการชุมนุมโดยสันติ หรือการรวบรวมรายชื่อเพื่อเรียกร้องกับรัฐบาลเมื่อเกิดปัญหาต่างๆ”
หากดูตัวบทก็จะเห็นเลยว่า รัฐให้หลักประกันที่จะไม่เข้าแทรกแซงศาสนาก่อนเสรีภาพในการแสดงออก (ซะอีก!)
6.
การเอาเสรีภาพในการนับถือศาสนากับเสรีภาพในการแสดงออกมาไว้ในบทเดียวกัน ซึ่งเป็นบทเดียวกับเสรีภาพในการชุมนุมก็สะท้อนว่า ทุกสิ่งคือ “เรื่องเดียวกัน”
เป็นเรื่องของ “เสรีภาพในการแสดงออก” ที่รัฐต้องเคารพ และทุกสิ่งไม่ว่าเสรีภาพการนับถือศาสนา การแสดงออก หรือแม้แต่การชุมนุมล้วนมาจากรากเดียวกัน
ดังนั้นเมื่อรัฐไม่ต้องการควบคุมความเชื่อหรือกระทั่ง “การแสดงออก” ที่ไม่ได้ก่อความรุนแรงของประชาชน การไปควบคุมสิ่งพิมพ์จึงเป็นสิ่งไม่จำเป็น จนกองเซ็นเซอร์ต้องยุติบทบาทไปในที่สุด
ซึ่งเรื่องที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เกิดก่อนการเกิด “ประชาธิปไตย” หรือการได้มาซึ่งสิทธิในการเลือกตั้งแบบถ้วนหน้าทุกคน (อย่างน้อยก็ในหมู่ผู้ชาย) หลายสิบปี หรือกระทั่งเป็นร้อยปีในบางประเทศ
และในแง่นี้ เนื่องจาก “เสรีภาพสื่อ” เกิดก่อนประชาธิปไตย และก็มีบทบาทสำคัญในการก่อตัวของกระแสการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาโดยตลอด
นั่นคือ ถ้ารัฐมีอำนาจในการควบคุมสื่อแบบตอนปฏิรูปศาสนา ประชาธิปไตยในโลกตะวันตกไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ หรือน่าจะเกิดขึ้นอย่างยากลำบากกว่านี้มาก
7.
นี่คือ “บทเรียนทางประวัติศาสตร์” ที่สำคัญและเป็น “จิตวิญญาณของเสรีภาพสื่อ” ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญน่าจะแทบทุกประเทศ
เพราะสุดท้าย เรื่องนี้ได้เป็นคำอธิบายข้อถกเถียงในยุคหลังว่า ทำไมสื่อที่ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับ “ประชาธิปไตย” ถึงไม่ควรจะมี “เสรีภาพสื่อ”
เพราะจากมุมมองของประชาธิปไตย “เสรีภาพสื่อ” มีเอาไว้เพื่อสนับสนุนประชาธิปไตย ไม่ใช่ทำลาย
แต่ประเด็นนี้ซับซ้อน เพราะเราไม่ได้อ้างกันได้ง่ายๆ แบบเห็นร่วมกันทั้งสังคมว่า การทำงานของสื่อสำนักใดสำนักหนึ่งเป็นการขัดขวางประชาธิปไตยจริงหรือไม่ และการให้อนุญาตกับรัฐในการ “ปิดสื่อ” นั้น ก็สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้รัฐทำลายกลไกการธำรงประชาธิปไตย และกลายเป็นรัฐเผด็จการในที่สุด
ซึ่งเราก็ต้องไม่ลืมว่ารัฐเผด็จการทั้งหลาย ก็มักจะเริ่มจากการเป็นรัฐประชาธิปไตยก่อนจะค่อยๆ กลายเป็นเผด็จการทีละนิด
และความผิดปกติแรกๆ ที่รัฐที่มีประวัติแบบนั้นทำก็คือ “การล่วงละเมิดเสรีภาพสื่อ” ด้วยการเซ็นเซอร์หรือปิดสื่อนั่นเอง