3 Min

สิทธิในการโหวตของ “คนติดคุก” ตัวชี้วัดอนาคตการเมืองอเมริกา

3 Min
1622 Views
03 Oct 2020

เคยสงสัยมั้ยว่าเวลาเรา “เลือกตั้ง” กันนี่ “นักโทษ” เขาได้เลือกตั้งกันในคุกไหม?

เราจะตอบคำถามนี้แบบดิบๆ ก็ได้ว่าเมืองไทย นักโทษจะไม่มีสิทธิ์เลือกตั้ง ต้องรอออกจากคุกก่อน ถึงจะเลือกตั้งได้

หรือเราจะไหลไปประเด็นในเชิงปรัชญาว่า แค่คนทำผิด แล้วไปตัดสิทธิ์พลเมืองพื้นฐานอย่างสิทธิเลือกตั้งของเขานั้น ชอบธรรมแล้วเหรอ?

ประเด็นนี้ในสหรัฐอเมริกา เป็นประเด็นการเมืองที่ใหญ่มาก

ทำไมประเด็นนี้ถึงเป็นเรื่องใหญ่ของอเมริกา?

1.

คนอเมริกันมีสิทธิ์เลือกตั้งประธานาธิบดีน่าจะประมาณ 270 ล้านคนทั้งประเทศ ในจำนวนนี้ คนมาเลือกตั้งจริงๆ ประมาณ 140 ล้านคน

จากจำนวนที่เห็นนี้ มีคนอเมริกาที่โดน “ตัดสิทธิ์เลือกตั้ง” เพราะ “ติดคุก” ถึงประมาณ 6 ล้านคน

และนี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ คิดเป็นประมาณ 2% ของประชาชนทั้งหมดที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง และคิดเป็นราวๆ 4% ของประชาชนทั้งหมดที่เลือกตั้งจริงๆ

ตัวเลข 4% คนอาจมองว่าดูเล็กน้อย แต่ถ้าลองดูจากผลเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งล่าสุด โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ชนะอย่าง “เฉียดฉิว”

ตัวเลข 2-4% ดูเยอะทันที ถ้าคนที่ถูกตัดสิทธิ์เลือกตั้งนั้นมีแนวโน้มทางการเมืองที่ใกล้เคียงกัน

2.

ในคุกอเมริกัน คนส่วนใหญ่เป็นคนดำกับคนลาตินอเมริกันทั้งนั้น และคนกลุ่มนี้ทั่วอเมริกา โดยพื้นฐานจะเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเดโมแครต

ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงให้ “คนติดคุก” ลงคะแนนเสียงได้ ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี ไปจนถึงผลการเลือกตั้งสารพัดในอเมริกาอาจจะพลิก

สิ่งที่น่าสนใจคือ ในอเมริกา คนที่ “ติดคุก” นั้นก็ไม่ได้ถูกตัดสิทธิ์เลือกตั้งไปทั้งหมด เพราะขึ้นอยู่กับกฎหมายแต่ละรัฐ

รัฐทั้งหมด 52 รัฐของสหรัฐอเมริกา จะมีแค่ 2 รัฐเท่านั้นที่คน “ติดคุก” จะมีสิทธิ์เลือกตั้งโดยสิ้นเชิง คือจะมี “คูหา” ไปให้เลือกตั้งถึงในคุกนั่นคือ รัฐเวอร์มอนต์ กับ เมน

ส่วนรัฐอื่นๆ จะมีมาตรฐานบางระดับในการ “ตัดสิทธิ์เลือกตั้ง” ของคนที่ติดคุกทั้งสิ้น หลายๆ รัฐก็คล้ายๆ เมืองไทย คือคนที่อยู่ในคุกจะไม่มีสิทธิ์เลือกตั้ง แต่ถ้าออกจากคุกมาแล้ว ก็เลือกตั้งได้ บางรัฐคนที่ยังมีทัณฑ์บนอยู่ก็จะเลือกตั้งไม่ได้ด้วยซ้ำ ส่วนบางรัฐคนที่เคยก่อคดีอุกฉกรรจ์จะโดนตัดสิทธิ์เลือกตั้งไปตลอดชีวิตก็มี

ซึ่งโดยรวมๆ คนอเมริกันประมาณ 6 ล้านคนโดนตัดสิทธิ์ เพราะ “ติดคุก” หรือ “เคยติดคุก” และที่เยอะขนาดนี้ เพราะว่าอเมริกาเป็นประเทศที่จับคนเข้าคุกเยอะที่สุดในโลก เยอะยิ่งกว่าจีนซะอีก (แต่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)

3.

นักกิจกรรมจำนวนไม่น้อยพยายามจะผลักดันให้อเมริกามีการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อป้องกันไม่ให้แต่ละรัฐทำการตัดสิทธิ์นักโทษและอดีตนักโทษในการมีส่วนร่วมทางการเมือง

อดีตผู้ท้าชิงประธานาธิบดีอย่าง เบอร์นี แซนเดอร์ส ก็เคยเสนอด้วยซ้ำว่า ถ้าเขาได้เป็นประธานาธิบดี เขาจะคืนสิทธิ์ทางการเมืองให้ “คนคุก” และ “อดีตคนคุก” ทั้งอเมริกา

แต่ประเด็นพวกนี้ก็เงียบไป เพราะความเห็นของคนอเมริกันเอง ทำโพลกี่ครั้ง ผลก็ออกมาคล้ายๆ กันคือ คนไม่ต่ำกว่า 60% เห็นว่าคนที่เคยติดคุก ควรจะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง และเอาจริงๆ แม้แต่คนที่สนับสนุนพรรคเดโมแครต ก็เห็นด้วยเป็นส่วนใหญ่ว่าควรจะตัดสิทธิ์การเมืองเหล่า “คนคุก”

และนี่ทำให้พวกนักการเมืองไม่ค่อยกล้าแตะประเด็นพวกนี้เท่าไร เพราะขัดกับความเห็นของมวลชนที่สนับสนุนทั้งสองพรรคหลักของอเมริกา

4.

คนอเมริกันดูจะเห็นว่าคนที่เคยทำผิดกฎหมายร้ายแรงนั้นควรจะโดนตัดสิทธิ์ทางการเมืองถาวร และถ้าถามคนไทยส่วนใหญ่ ก็น่าสนใจว่า คนไทยจะตอบว่าอะไร

ขณะที่ถ้าใช้ “มาตรฐานยุโรป” คนจะคิดอีกแบบ เพราะคนยุโรปจะมองว่าถึงคนจะอยู่ในคุก เราก็ไม่มีสิทธิ์จะไปตัดสิทธิ์ทางการเมืองของเขา เพราะถือเป็น “สิทธิมนุษยชน”

และเอาเข้าจริง แม้แต่ศาลอาญาแห่งสหภาพยุโรปก็เคยฟันธงลงมาชัดๆ เลยว่า ชาติในสหภาพยุโรปนั้นห้ามตัดสิทธิ์ทางการเมืองกับเหล่า “คนคุก” เพราะการทำแบบนั้นคือการ “ละเมิดสิทธิมนุษยชน”

5.

ประเด็นเรื่อง “สิทธิทางการเมืองของคนคุก” น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ในการเมืองอเมริกาไปอีกนาน เพราะนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็เห็นว่าระบบการตัดสิทธิ์ในการมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งของ “คนคุก” นี้เป็นระบบที่ “เป็นคุณ” ต่อฝ่ายพรรครีพับลิกัน

หรือพูดง่ายๆ ก็คือมีส่วนที่ทำให้ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี และก็อาจทำให้เขาได้เป็นประธานาธิบดีอีกรอบ

เพราะถึงที่สุดแล้ว ถ้าฝั่งพรรคเดโมแครตสิ้นหวังจริงๆ ในเวทีการเมือง ก็ไม่แน่ว่ามุมมองอาจจะเปลี่ยน และจะหวังพึ่งฐานเสียงของ “คนคุก” เพื่อดันให้ตัวแทนของพรรคเฉิดฉายได้เป็นประธานาธิบดีอีกรอบก็ได้