วิธีเข้าถึง ‘ความหวัง’ และ ‘ความฝัน’ ผ่านภาพวาดและสารคดี Dreamscape
วิธีเข้าถึง ‘ความหวัง’ และ ‘ความฝัน’ ผ่านภาพวาดและสารคดี Dreamscape
การรับฟัง’ นับเป็นหัวใจหลักในงานของ ‘เบสท์’-วรรจธนภูมิ ลายสุวรรณชัย โดยมักออกแบบวิธีการสื่อสารที่สร้างสรรค์ ซึ่งสามารถเปลี่ยนให้เรื่องนามธรรม หรือจับต้องได้ยากให้กลายเป็นที่แปลกใหม่และน่าสนใจ อีกทั้งยังถ่ายทอดเรื่องราวผ่าน ‘ภาพวาด’ จากจินตนาการ หรือความรู้สึกออกมาให้แตกต่างจากภาพจำเดิมๆ
วันนี้ BrandThink Cinema จึงขอชวนทุกคนมาร่วมทำความเข้าใจสิ่งที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ภายในจิตใจ กระทั่งความคิดของผู้คนในเมืองกรุงเทพฯ ผ่านเครื่องมือการสื่อสารที่สามารถเข้าถึง ‘ความหวัง’ และ ‘ความฝัน’ ได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งมันจะมีที่มาที่ไปอย่างไร ทุกคนสามารถติดตามกันได้ที่ด้านล่างนี้เลย
รับรู้ถึงการมีอยู่ของกันและกัน
“Dreamscape เป็นหนังที่พูดถึง ‘กรุงเทพฯ’ คือ เมืองที่รวมศูนย์อำนวจไว้ที่เมืองเดียว แล้วจริงๆ คนกรุงเทพฯ ก็ไม่ได้มีเยอะหรอก แต่มันคือคนที่มาจากหลากหลายที่เพื่อมาไขว่คว้าหาโอกาส”
เบสท์เล่าถึงที่มาของหนังดังกล่าวว่า ตัวเขาเองหรือทีมงานก็เป็นคนชนชั้นกลางที่มองว่าชีวิตของมนุษย์ในการอยู่ในเมืองๆ หนึ่งมีการยึดโยงกันทางใดทางหนึ่งอยู่แล้วจึงคิดว่า “ทำไมเราถึงจำเป็นจะต้องไม่รู้จักเขา” โดยตอนที่ทำสารคดีเรื่องนี้ก็ไม่ได้คิดว่าคนในหนังจะต้องเป็นคนชายขอบของสังคม แต่คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เขา ‘มองเห็น’ การดำรงอยู่
“ในทางหนึ่ง Dreamscape ก็พยายามจะพาคนดูไปทำความเข้าใจเพื่อนร่วมเมืองของเราว่า พวกเขามีวิธีคิดยังไง อยู่ยังไง มีภาระ หรือแบกความฝันอะไรไว้บ้าง เมื่อฟังแล้วความฝันไหนที่เขาไม่สามารถไปได้ แล้วความฝันที่ไปไม่ได้นี่เกิดมาจากอะไร มันเกิดมาจากเขา หรือมันเกิดมาจากรัฐที่พยายามจะบอกว่าความสุขคืออะไร”
เบสท์ยังเล่าต่อว่า ซึ่งส่วนตัวไม่ได้เชื่อในสิ่งที่รัฐพูดก็เลยอยากจะหาคำตอบด้วยการลงไปฟังคน ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นอย่างที่รัฐพูดไหม ที่บอกว่าเราจะทำให้ทุกคนมีความสุข ทุกคนจะแฮปปี้ คือเราไม่เชื่อไง เลยอยากทำหนังเรื่องนี้เพื่อยืนยันเสียงของตัวเองว่า “สิ่งที่เราคิดมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า”
ความหลากหลายของผู้คน
“ไอเดียคือ เหมือนทำอัลบั้มเพลง แต่ละคนมีเพลงหนึ่งเป็นสตอรี่ของเขาเองอยู่แล้ว”
เมื่อถามถึงเหตุผลในการเลือกกลุ่มคนในการสัมภาษณ์ เบสท์ได้เล่าวว่า คิดด้วยความยาวของหนัง จาก 20 กว่านาที หรือ 30 กว่านาที จะจัดวางองค์ประกอบอย่างไรให้เห็น ‘มิติที่หลากหลาย’ ซึ่ง 5 คนที่พยายามเลือกถูกเขาอธิบายว่า “มีความเป็นเหลี่ยมที่ไม่ค่อยเหมือนกันอยู่”
“หนังเรื่องนี้มันก็ไม่ได้ชายขอบล้วนนะ ก็มีทั้งครู นักเรียน ซึ่งเราก็มองว่าอยากให้เป็นแค่เหลี่ยมความคิดของเขาเฉยๆ ที่พอเราฟังแล้ว เหมือนถ่ายภาพให้เห็นว่าคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ มันมีคนประเภทไหนบ้าง ซึ่งจริงๆ ก็มีอีกเยอะ แต่ด้วยระยะเวลา แล้วก็รูปแบบมันได้เลยแค่พอประมาณ”
ถ่ายทอดโดยเน้นใช้หูฟัง ไม่เน้นเห็นหน้าคน
“เราอยากทำหนังที่เน้นการฟัง คือการดูหนังมันเหมือนเป็นประสาทสัมผัสมันเป็นประสบการณ์ ซึ่งหลักๆ มันคือการใช้ภาพและเสียง นั่นก็คือ ‘การดู’ และ ‘การฟัง’ ก็เลยอยากลองทำหนังที่คนใช้สายตาน้อยๆ แล้วบางทีสายตาเราก็ไปตัดสินเขาจากภายนอก เลยอยากจะทำให้คนไม่ต้องเห็น แล้วแค่ฟังลึกๆ ฟังแค่สตอรี่เขา”
การทำหนังเรื่องนี้จึงตั้งใจลดหรือตัดภาพจำที่ทุกคนเคยมีออก ให้เหลือแค่เรื่องราวของคนในเรื่อง โดยเขาระบุว่า “ถ้าคุณรู้จักคนๆ หนึ่ง สตอรี่เขาเป็นอย่างนี้ คุณคิดอย่างไร?”
“เบสท์เลยอยากจะทำหนังที่ให้คนฟังและอยากทำหนังที่ลองไม่มีภาพ แล้วดูว่าคนจะยังตัดสิน หรือมีภาพจำแบบนั้นอยู่ไหม ทำให้ภาพที่ปรากฏขึ้นในหนังจึงเป็นแค่เรื่องของตัวการ์ตูนที่เขาวาด ซึ่งก็คือข้างในของเขา”
วาดภาพจากจินตนาการแสดงตัวตน
ทั้งนี้ในหนังเรื่องดังกล่าว มีการใช้ ‘ฮีโร่’ หรือ ‘นางฟ้า’ เข้ามาเกี่ยวข้องในการสัมภาษณ์ โดยเบสท์เล่าว่า “หนังเรื่องนี้พูดถึงเรื่องของความหวัง ความฝัน วิธีการที่ถามเลยถามซื่อๆ ไม่ได้ความฝันคุณคืออะไร คนนั้นงงแน่นอน ก็เลยนึกถึงกระบวนการที่เขาเรียกว่า ‘Empathize’ คือการพยายามทำความเข้าใจด้วยการให้เขาวาดรูป”
เบสท์อธิบายเรื่องการวาดรูปเพิ่มเติมว่า “เหมือนเป็นอะไรที่เด็กๆ ทุกคนได้เรียน ได้ทำ แต่ว่าพอผู้ใหญ่พอโตมามันเหมือนกับว่าเราใช้ฐานคิดเยอะ เราก็เลยคิดว่าการวาดรูปนี่จะช่วยเรื่องการทำงานกับข้างในของคน ทำงานกับเรื่องจินตนาการ ความคิด หรือเรื่องอะไรที่มันหลบซ่อนอยู่ จากการใช้กระดาษกับปากกา”
“เรื่องที่เราคุยกับเขามันไม่ได้เป็นเรื่องรูปธรรมเท่าไหร่ หมายถึงมันจะเป็นเรื่องของความหวัง ความฝัน จินตนาการ คำถามที่เราถามเลยจะเป็นอะไรที่ต้องให้เขาเข้าใจง่าย เราก็เลยคิดว่าถ้าสมมติเป็นตัวแทนเป็นฮีโร่ที่จะมาช่วย ถึงเขาจะวาดการ์ตูนฮีโร่อะไรออกมา สุดท้ายแล้วเรื่องราวที่เขามอบให้กับฮีโร่นั้นมันเป็นเรื่องราวของความหวังที่หลบซ่อนอยู่ในตัวคนหมดเลย”
ด้วยเหตุนี้ Dreamscape จึงพังทลายความเชื่อเดิมๆ ที่มีต่อวิธีการสร้างสรรค์สารคดี เพราะเรื่องนี้เขาตั้งใจให้คนดูรับฟังเพียงแค่ ‘เสียง’ ประกอบไปกับภาพเคลื่อนไหว แต่ไม่เห็นใบหน้าของผู้คนที่อาจทำให้เกิดภาพ ‘เหมารวม’ ในสายตาของคนดู หลังจากนั้นจึงค่อยๆ เริ่มต้นทำความเข้าใจและเขาเชื่อว่าคนดูจะสัมผัสได้ว่าหนังเรื่องนี้คือ การสะท้อนแทนความรู้สึกของผู้คนมากมายที่มีความหลากหลายในสังคมนี้ได้ไม่มากก็น้อย
BrandThink Cinema เปิดพื้นที่ให้คนรักหนังได้รับชมภาพยนตร์ 3 เรื่องที่เป็นผลงานของ Eyedropper Fill รวมถึง Dreamscape โดยสามารถรับชมได้ที่ https://www.brandthink.me/cinema/dreamscape-เมืองกรุง-เทพ
+0