รู้ไหม ‘พลังเงียบ’ หมายถึงคนส่วนใหญ่ในสังคมที่ไม่เห็นด้วยกับหนุ่มสาว มาจากอเมริกาในปี 1968
ทุกวันนี้สังคมไทยเกิดการประท้วงของคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่อย่างกว้างขวาง สื่อจำนวนไม่น้อยนำเสนอภาพการประท้วงครั้งนี้ว่าเป็นฉันทามติของสังคม ไม่ว่ามองไปทางไหน ผู้คนดูจะเห็นร่วมกันและให้การสนับสนุนผู้ชุมนุม
แต่ในขณะเดียวกัน ท่ามกลางความเห็นด้วย ก็มีคนพูดถึง “พลังเงียบ” ที่หมายถึงคนส่วนใหญ่ในสังคมที่ไม่ได้เห็นด้วยกับผู้ชุมนุม เพียงแค่คนกลุ่มนี้ไม่อยากจะส่งเสียงดังเท่านั้น
ว่าแต่คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมเราถึงเรียกคนกลุ่มนี้ว่า “พลังเงียบ”
1.
คนไทยน่าจะแปล “พลังเงียบ” มาจากคำว่า “Silent Majority” ในภาษาอังกฤษ คำนี้เป็นแนวคิดเก่า ในสมัยโรมันโบราณหมายถึงคนตาย พอมาถึงศตวรรษที่ 19 เริ่มนำมาใช้ในความหมายของกลุ่มฐานคะแนนเสียงในระบอบประชาธิปไตย
แต่ความหมายอย่างทุกวันนี้มีที่มาจากปี 1969 ตอนนั้น ริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาอย่างเฉียดฉิว ชัยชนะของเขาสร้างความงงงวยให้วัยรุ่นฮิปปี้จำนวนมาก เพราะสำหรับวัยรุ่น “คนส่วนใหญ่” น่าจะไม่ชอบพรรครีพับลิกันและสนับสนุนการประท้วงต่อต้านสงครามเวียดนาม
เวลานั้น วัยรุ่นอเมริกันมีความรู้สึกว่าคนอเมริกันทั้งหมด หรืออย่างน้อยก็ส่วนใหญ่สนับสนุนม็อบต่อต้านสงครามเวียดนาม เพราะสื่อสำนักต่างๆ จนถึงกลุ่มปัญญาชนก็มาในทางเดียวกันหมด นั่นคือเห็นดีเห็นงามกับการประท้วงสงครามเวียดนามของเหล่าวัยรุ่น
แต่ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาปี 1968 ก็ทำให้วัยรุ่นรู้ว่าพวกเขาคิดผิด…
2.
การเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาปี 1968 อเมริกาได้เปลี่ยนขั้วทางการเมืองจากพรรคเดโมแครต มาเป็นรีพับลิกัน คนอเมริกันได้ประธานาธิบดีที่มีท่าทีแบบ “สายเหยี่ยว” อย่างริชาร์ด นิกสัน
เนื่องจากนิกสันเป็นคนสนับสนุนสงครามต่อสู้คอมมิวนิสต์ในเวียดนาม และรังเกียจการประท้วงของคนหนุ่มสาวอย่างเปิดเผย เพราะสร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมือง
หรือถ้าพูดให้ลึกกว่านั้น ถ้าย้อนดูประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน เราจะเข้าใจว่า การได้ประธานาธิบดีชื่อ ริชาร์ด นิกสัน ช็อกวัยรุ่นอเมริกันมาก
เพราะในอดีต นิกสันเคยเป็นรองประธานาธิบดียุค 1950’s คู่กับ ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ (Dwight D. Eisenhower) นายทหารที่คนอเมริกันเลือกมา “สู้คอมมิวนิสต์” และนิกสันเองก็กังขามาตลอดว่าพวกคอมมิวนิสต์อยู่เบื้องหลังขบวนการนักศึกษา
หลังจากไอเซนฮาวร์หมดสมัยการเป็นประธานาธิบดี นิกสันก็มาลุยเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันสู้ศึกในสนามประธานาธิบดีในสมัยต่อมา
การเลือกตั้งในปี 1960 นิกสันพ่ายแพ้ให้กับ จอห์น เอฟ. เคนเนดี (John F. Kennedy) นักการเมืองที่เป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่จากพรรคเดโมแครตอย่างฉิวเฉียด และนั่นเป็นการเปิดประตูสู่ยุค “ขบวนการคนรุ่นใหม่” ของอเมริกาในช่วง 1960’s
ในเวลานั้น นิกสันคือ “ผู้แพ้” ต่อขบวนการคนรุ่นใหม่…
3.
ไม่มีใครคาดคิด หลังกระแสขบวนการคนรุ่นใหม่เติบโตเต็มที่ในปี 1968 นิกสันจะกลับมาท้าชิงประธานาธิบดีได้สำเร็จ
คำถามคือเกิดอะไรขึ้น ทำไมในช่วงที่คนรุ่นใหม่กำลังเบ่งบาน นิกสันถึงได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี?
ถ้าจะพูดภาษาในสมัยนี้ ความเข้าใจผิดของคนหนุ่มสาวที่คิดว่า “คนส่วนใหญ่” คิดเหมือนพวกเขา ก็เพราะหนุ่มสาวกลุ่มนี้อยู่แต่ใน “Echo Chamber” หรือคนที่คิดเหมือนตัวเอง
4.
หลังนิกสันขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีไม่นาน เขาได้พูดปราศรัยเกี่ยวกับสงครามเวียดนาม ในช่วงหนึ่งของการปราศรัย นิกสันขอให้ “พลังเงียบ” ในอเมริกาสนับสนุนเขา
ซึ่ง “พลังเงียบ” ในตอนนั้นหมายถึงคนอเมริกันที่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของขบวนการคนหนุ่มสาว ที่ต่อต้านสงครามเวียดนามและ “สร้างความวุ่นวาย” ให้กับสังคมอเมริกามาหลายปี
ตอนนั้นนิกสันเรียกคนอเมริกันที่อยู่ อแ ิแด จำนวนมากที่เลือกเขามาเป็นประธานาธิบดีว่าเป็น “พลังเงียบ” นั่นเอง
การปราศรัยครั้งนี้ของนิกสันเป็นที่นิยมมาก ผู้คนโทรไปทำเนียบขาวเพื่อชื่นชมนิกสันกันยกใหญ่ เพราะคำพูดของเขาคงไป “โดนใจ” คนที่รำคาญม็อบของคนหนุ่มสาวที่ดำเนินมายาวนาน แต่ไม่กล้าแสดงออกเท่าไร เพราะสื่อทั้งหลายเฮโลกันไปเข้าข้างคนหนุ่มสาวกันหมด
ผลก็คือแทนที่สงครามเวียดนามจะสิ้นสุดดังฝันของคนหนุ่มสาว สงครามยังดำเนินต่อไปตลอดช่วงการเป็นประธานาธิบดีสมัยแรกของนิกสัน
จากนั้นพอนิกสันลงท้าชิงประธานาธิบดีซ้ำอีกรอบในปี 1972 เขาก็ชนะผู้ท้าชิงตำแหน่งจากพรรคเดโมแครตแบบขาดลอย นิกสันชนะเลือกตั้งในเกือบทุกรัฐและ ได้ป๊อบปูลาร์โหวตเกิน 60% ซึ่งนั่นน่าจะเป็นจุดจบของ “พลังคนหนุ่มสาว” และเป็นชัยชนะของ “พลังเงียบ” อย่างเป็นทางการ
นี่คือพลังของ “พลังเงียบ” ของอเมริกันที่สนับสนุนสงครามเวียดนาม ท่ามกลางกลุ่ม “วัยรุ่น” ที่ต่อต้านสงคราม และหลงคิดว่าตัวเองเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม
5.
ทั้งนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่า “พลังเงียบ” จะเป็นสิ่งที่อ้างลอยๆ ในทางการเมืองเพื่อที่จะทำอะไรก็ได้
เพราะการจะระบุได้รู้ว่า “พลังเงียบ” มีจริงไหม? และมีแค่ไหน? ก็ต้องจัดการเลือกตั้งหรือจัดการทำประชามติอย่างเสรีและเป็นธรรม
ทำเท่านี้ก็จบแล้ว จะได้รู้ดำรู้แดงว่า กระแสความคิดที่เกิดขึ้นเป็นแค่ “Echo Chamber” ของวัยรุ่น และการปั่นกันของสื่อเป็นบรรยากาศความคิดของ “คนส่วนใหญ่” จริงๆ