โลกนี้เรามีสีสันมากมาย เพราะมนุษย์เราทั่วไปมองเห็นโลกเป็นสีต่าง ๆ ผ่านการรับแสงสะท้อนจากวัตถุต่าง ๆ ไปยังเซลล์รูปกรวยที่อยู่ในดวงตาเรา ซึ่งในดวงตามนุษย์ทั่วไปก็จะมีเซลล์รูปกรวยอยู่สามชนิดคือ เซลล์ที่ใช้รับแสงสีแดง เซลล์ที่ใช้รับแสงสีเขียว และเซลล์ที่รับแสงสีน้ำเงิน (แสงจากดวงอาทิตย์จริง ๆ มีหลายเฉดสีมาก แต่เรามองไม่เห็น เราจะเห็นต่อเมื่อแสงสะท้อนกับวัตถุเข้าตาเรา ซึ่งที่เราเห็นวัตถุมีสีหนึ่ง ๆ ก็เพราะวัตถุนั้นมีคุณสมบัติในการสะท้อนแสงดีดังกล่าวได้ดี) โดยมนุษย์บางคนก็จะขาดเซลล์เหล่านี้ไปและจะมีอาการที่เรียกว่า “ตาบอดสี”
การที่มนุษย์เห็นสีมากมายแบบนี้ ไม่ได้แสดงว่าสัตว์ต่าง ๆ จะเห็นสีต่าง ๆ เหมือนเรา เพราะเอาจริง ๆ สัตว์แต่ละชนิดก็มีเซลล์รูปกรวยในดวงตาแบบที่ต่าง ๆ กันไป กล่าวคือ สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดต่อให้เห็นภาพเดียวกัน แต่สีในภาพที่เห็นก็ไม่เหมือนกัน
บางคนคงเคยได้ยินเรื่องนี้ และก็คงจะได้ยินเช่นกันว่า “เพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์” อย่างหมานี่อาภัพสุด ๆ เพราะไม่เห็นโลกมีสีสันอย่างมนุษย์ แต่มองโลกได้เป็นแค่ขาวดำ
แต่รู้มั้ยครับ ว่าความเข้าใจนี้ผิด เพราะจริง ๆ น้องหมา ไม่ได้เห็นโลกเป็นแค่ขาวดำ
ในความเป็นจริง หมามีเซลล์รูปกรวยอยู่ แต่มีแค่เซลล์ที่เอาไว้รับสีน้ำเงิน ซึ่งในแง่นี้มันจึงทำให้หมาไม่สามารถมองเห็นสีแดงกับเขียวได้
ซึ่งนักวิจัยก็ได้สร้างแบบจำลองการเห็นของหมามาผ่านข้อมูลที่เก็บมายาวนาน และพบว่า จริง ๆ หมา จะมองเห็นโลกส่วนใหญ่เป็นเฉดสี เทา เหลือง และน้ำเงิน เป็นหลัก
พูดง่าย ๆ คือถ้าเราออกไปเห็นวิวทุ่งหญ้าเขียวขจี ดอกไม้สีสันสดใสหลากสี สิ่งที่ต้องหมาจะเห็นก็คือทุ่งหญ้าทึม ๆ เพราะหมาจะเห็นสีแดงแจ๋ที่มนุษย์เห็นเป็นสีน้ำตาลเข้ม และเห็นสีเขียวแป๊ดเป็นสีเหลือง ๆ เทา ๆ และความคลุมเครือนี้ก็ทำให้มนุษย์มักจะเข้าใจว่าหมามองโลกเป็นสีขาวดำ
ทั้งที่จริง ๆ น้องหมาเวลาแหงนมองท้องฟ้า น้องหมาก็เห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้าเหมือน ๆ เรานี่แหละ แค่โทนสีอื่น ๆ น้องหมาไม่ได้เห็นสีเดียวกับเรา
ถ้าเราเข้าใจแบบนี้ เวลาเราซื้อของเล่นให้น้องหมาสีแดง ๆ เขียว ๆ สดใส แล้วโยนให้มันไปคาบ มันมีความเป็นไปได้พอสมควรที่มันจะหาไม่เจอ เพราะในสายตาน้องหมา วัตถุที่มีสีพวกนี้ สีมันจะกลืน ๆ ไปกับทิวทัศน์ซะหมด ซึ่งทางแก้ก็คือ เปลี่ยนของเล่นน้องหมาให้เป็นโทนฟ้าและน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีที่น้องหมามองเห็นได้ชัด และสามารถแยกมันออกจากวัตถุอื่น ๆ ในภาพทิวทัศน์ที่มันเห็นได้
ทั้งหมดที่ว่ามานี้ แทนที่เราจะเข้าใจว่าน้องหมามองโลกเป็นขาวดำ เราก็น่าจะเข้าใจน้องหมาในฐานะของสิ่งมีชีวิตที่ตาบอดสีอย่างรุนแรงมากกว่าเมื่อเทียบกับมนุษย์ทั่วไป (ทั้งนี้คนที่ตาบอดสีแบบสมบูรณ์ที่เห็นโลกเป็นขาวดำก็มีจริง ๆ นะครับ แต่พวกเขามีจำนวนน้อยกว่า 0.0001% หรือน้อยกว่า 1 ในล้านของประชากรมนุษย์)
แต่แม้ว่าน้องหมาจะเห็นสีน้อยกว่าเรา ธรรมชาติก็ให้สิ่งอื่นทดแทนมา โดยตาของน้องหมาสามารถรับแสงได้ดีกว่าเราเยอะ ซึ่งนั่นหมายถึงการมองเห็นได้ดีในที่ที่มืดจนสายตามนุษย์มองไม่เห็น ไม่ใช่แค่น้องหมาจะมองในที่มืดได้ดีกว่ามนุษย์เท่านั้น แต่น้องหมาก็ยังรับเสียงต่าง ๆ ได้ดีกว่ามนุษย์เยอะ พวกมันรับเสียงสูงระดับที่มนุษย์ไม่ได้ยินได้ และมันก็ฟังเสียงต่าง ๆ ได้ในระยะไกลกว่ามนุษย์ราวสี่เท่าตัวด้วย และแน่นอนที่เด็ดที่สุดก็คือมีประสาทรับกลิ่นที่ทรงประสิทธิภาพสุด ๆ ในระดับที่มนุษย์คงจะจินตนาการ “การรับรู้โลกผ่านกลิ่น” ของบรรดาน้องหมาได้ยาก เพราะพวกมันสามารถได้กลิ่นสิ่งต่าง ๆ ในระดับที่ละเอียดกว่ามนุษย์ในแบบที่เทียบกันไม่ได้เลย
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็อย่าไปสงสารน้องหมาที่มองเห็นโลกเป็นสีทึม ๆ ผิดกับเราเลยครับ เพราะประสาทสัมผัสพื้นฐานอื่น ๆ ของมันน่าจะเรียกได้ว่าดีกว่าเราหมด กล่าวคือ ถ้าไม่นับประสาทการมองเห็นในที่สว่างที่เราเหนือกว่ามัน ประสาทสัมผัสด้านอื่น ๆ มันดีกว่าเราหมดเลย การมองในที่มืดเราสู้พวกมันไม่ได้เลย ไม่ต้องไปพูดถึงการได้ยินเสียงหรือการดมกลิ่นที่พวกมันเหนือกว่าเราแบบคนละโลก
แต่ก็นี่แหละครับที่ทำให้ “เพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์” ชนิดนี้เป็นดวงตาให้มนุษย์ในความมืด ไปจนถึงเป็นหูเป็นจมูกให้กับมนุษย์มาช้านานตั้งแต่อดีตกาล