รู้จัก ‘โจ โรแกน’ พอดแคสเตอร์พันล้าน ผู้ “เป็นกลาง” พอจะเป็นกรรมการดีเบตสองผู้ท้าชิงประธานาธิบดี?
ในบรรยากาศของโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งอเมริกา ตามธรรมเนียมจะต้องมีการจัดดีเบตระหว่างผู้ท้าชิงประธานาธิบดี (Presidential Debate)
โดยเปิดโอกาสให้ผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้นำสูงสุดมาปะทะฝีปากและนโยบายให้สาธารณชนอเมริกันเห็นในโค้งสุดท้าย จะได้ตัดสินใจถูกว่าจะเลือกใคร
และการดีเบตครั้งนี้ระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ กับโจ ไบเดน น่าจะเผ็ดร้อนสุดๆ เพราะตอนนี้สังคมอเมริกันกำลังแตกแยก และการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้น่าจะเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายประเด็นทางสังคมในอเมริกาหลายประเด็นเลยทีเดียว
1.
อเมริกาทุกวันนี้เป็นประเทศที่ทุกมิติแบ่งแยกไปตามขั้วการเมือง ไม่เว้นแม้แต่ “สื่อ” คนอเมริกันก็มองว่าไม่มีสื่อกระแสหลักใดจะ “เป็นกลาง” จริงๆ
เช่น ช่อง Fox News ก็ถูกมองว่าเป็นสื่อของพรรครีพับลิกัน หรือช่องอย่าง CNN ก็ถูกมองว่าเป็นสื่อของพรรคเดโมแครต
และไม่ใช่แค่ช่องเหล่านี้เท่านั้น ทั้งนักข่าวและเหล่าคนดังทั้งหลายก็ถูกมองว่ามีขั้วการเมืองของตัวเองทั้งสิ้น
คำถามคือในยุคที่อเมริกัน “แบ่งขั้ว” ขนาดนี้ ใครล่ะจะเป็น “คนกลาง” ที่ควรเป็น “กรรมการดีเบต” ประธานาธิบดี
ดูเหมือนคนอเมริกันหลายแสนคนจะร่วมกันลงชื่อให้ โจ โรแกน (Joe Rogan) เป็นพิธีกรในการดีเบตประธานาธิบดีอเมริการะหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ กับโจ ไบเดน ก่อนการเลือกตั้งจะมาถึง
แล้ว โจ โรแกน เป็นใคร?
2.
“โจ โรแกน” คนไทยอาจไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยิน แต่คนอเมริกันต้องเคยได้ยินชื่อเขาผ่านหูแน่ๆ และน่าจะรู้จักเขาในฐานะของ “พิธีกร” ในรายการเขาเองที่ชื่อว่า The Joe Rogan Experience ซึ่งทุกวันนี้ “ออนแอร์” ทางยูทูบ
พูดง่ายๆ โจ โรแกน คือยูทูบเบอร์ หรือจะเรียกให้ตรงกว่านั้นก็คือ “พอดแคสเตอร์” (Podcaster) เพราะรายการของเขาคือการเชิญแขกรับเชิญมานั่งพูดคุย ซึ่งเรา “ฟัง” เฉยๆ ก็ได้ ดังนั้นรายการของโจ โรแกน คือพอดแคสต์สด ที่มีภาพประกอบเท่านั้นเอง
3.
ในยุคนี้ที่ทุกคนทำอะไรเต็มไปหมด โจ โรแกน อาจเรียกได้ว่าเป็นพอดแคสเตอร์คนแรกๆ ของโลก ที่ทำงานมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2009 ในวันที่โลกยังไม่มีคำว่า ‘พอดแคสต์’ อย่างทุกวันนี้
ทุกวันนี้ โจ โรแกน ทำรายการอาทิตย์ละประมาณ 3 ตอน ทุกตอน มีคนดูทางยูทูบ ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านครั้ง และตอนพีคๆ อาจมีคนดูเกิน 10 ล้านครั้ง
“รายการ” ของเขาเป็นรายการออนไลน์ที่ฮิตระดับเดียวกับรายการทีวีเลย เมื่อเทียบกับรายการทอล์คโชว์ฮิตๆ ของอเมริกาที่มีคนดูตอนออนแอร์ประมาณเดียวกัน
ด้วยจำนวนคนดูระดับนี้ โจ โรแกน เลยได้สมญานามว่าเป็น “ราชาพอดแคสต์”
ล่าสุด เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Spotify ถึงกับยอมจ่าย 100 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้เขาย้ายแพลตฟอร์มรายการไปใช้ Spotify แทน YouTube
ซึ่งโจ โรแกน ก็ตกลง และนี่ก็เป็นดีลระดับตำนาน เพราะไม่เคยมีพอดแคสเตอร์คนไหนในโลกทำได้มาก่อน
ทำไม โจ โรแกน ถึงยิ่งใหญ่ขนาดนี้?
4.
เล่าอดีตของ โจ โรแกน อย่างรวบรัด เขาเคยเป็น “เด็กเรียนไม่จบ” เข้าสู่โลกศิลปะการต่อสู้ ก่อนผันตัวมาเป็นพิธีกรการแข่งขัน MMA และได้เป็นพิธีกร “รายการทีวี” ในรายการ Fear Factor จากนั้นก็เริ่มทำ “รายการออนไลน์” ของตัวเองในปี 2009 โดยไม่มีใครสนใจ แต่เขาก็ดันทุรังและบากบั่นทำจนรายการเป็นโด่งดังในที่สุด
ปัจจุบัน โจ โรแกน เป็นคนดังและยิ่งใหญ่มาก รายการ The Joe Rogan Experience มีคนติดตามและติดกันงอมแงม
ส่วนใหญ่คน “ชอบ” รายการของโจ โรแกน ก็เพราะเขา “เป็นกลาง” และ “เป็นกันเอง” กับผู้มาร่วมรายการมากๆ
คือชวนคุยสัพเพเหระอะไรไปเรื่อยยาว 2-3 ชั่วโมง และความ “เป็นกันเอง” ที่ว่านี่ก็ระดับกินเหล้าและสูบกัญชากันกลางรายการ (รายการจัดที่แคลิฟอร์เนีย สูบกัญชาได้)
ถ้าใครจำได้ มีครั้งหนึ่ง อีลอน มัสก์ ไปออกรายการแล้วสูบกัญชาโชว์กลางรายการ นั่นแหละ รายการ The Joe Rogan Experience
5.
ที่น่าสนคือแขกรับเชิญของโจ โรแกน มีตั้งแต่นักธุรกิจใหญ่ ผู้ท้าชิงประธานาธิบดี ดารา ปัญญาชนชื่อดัง ฯลฯ
ความโดดเด่นของเขาคือ เขาเชิญคนจากหลายฝั่งมาก ตั้งแต่ซ้ายยันขวา ตั้งแต่คนที่พูดจาเข้าท่าเป็นหลักการจนถึงคนที่คนอื่นถือว่าเป็น “นักทฤษฎีสมคบคิด” แล้วให้คนเหล่านี้มาพูดสิ่งที่ตัวเองคิดและเชื่อออกรายการ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เราจะพบไม่ได้แน่ๆ จากสื่อกระแสหลัก ที่ต่างฝ่ายก็จะเชิญคนจากฝั่งตัวเองเท่านั้นมาพูดในประเด็นเรื่องต่างๆ
ความ “เป็นกลาง” ของตัว โจ โรแกน เองก็น่าจะเรียกได้ว่าน่าสนใจ เพราะตัวของเขาก็มีส่วนผสมของ “ฝ่ายซ้าย” และ “ฝ่ายขวา” ของอเมริกา
กล่าวคือตัวเขาเป็นคนที่คิดว่าสังคมควรจะมีสวัสดิการให้คนยากไร้ กลุ่ม LGBT ควรจะมีสิทธิ์พื้นฐานเช่นเดียวกับคนทั่วไป ผู้หญิงควรจะมีสิทธิ์ทำแท้ง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้ฝ่ายขวาจัดอเมริกามองเขาเป็นพวก “หัวเสรี”
แต่พร้อมกันนั้น เขาก็ค่อนข้างจะเชื่อในสิทธิ์การถือครองอาวุธปืน และเขาก็ตั้งคำถามว่าเอาจริงๆ นักกีฬา LGBT แบบข้ามเพศควรจะมีสิทธิ์ลงแข่งกับนักกีฬาที่มีเพศตามกำเนิดจริงเหรอ? ซึ่งประเด็นเหล่านี้ก็สร้างความโกรธเคืองให้กับพวกฝ่ายซ้ายจัดอเมริกามาก เพราะเขาไปตั้งคำถามในประเด็นที่อ่อนไหว ซึ่งนี่ยังไม่นับว่าเขาชอบเล่นมุกห่ามๆ ที่ “ก้ำกึ่ง” จะ “เหยียด” สารพัดตามประสา “ผู้ชายสมัยก่อน” อีกด้วย
6.
ตอนแรกในช่วงที่พรรคเดโมแครตยังไม่ได้ตัวแทนลงประธานาธิบดี โจ โรแกน บอกว่าเขาอยากเลือกเบอร์นี แซนเดอร์ส
ตอนนั้นคนตื่นเต้นกันมาก เพราะโจ โรแกน คือหนึ่งใน “อินฟลูเอนเซอร์” ของ “คนกลางๆ” ในอเมริกา แต่พอมาล่าสุดที่พรรคเดโมแครตส่งโจ ไบเดน ลงสู้กับโดนัลด์ ทรัมป์ เขาก็บอกว่า เขาเลือกทรัมป์ยังดีกว่าเลือกไบเดน
ซึ่งนึ่ก็ทำให้ฝ่ายซ้ายจัดอเมริกามองว่าเขาได้เผย “ธาตุแท้” ว่าจริงๆ เป็นฝ่ายขวา
แต่ก็อย่างที่บอก โจ โรแกน นั้น “เป็นกลาง” พอในสายตาของคนอเมริกันจำนวนมากที่ไม่ได้มีขั้วการเมืองชัดเจนและเห็น “ข้อเสีย” ของขั้วการเมืองแต่ละฝั่ง และพร้อมที่จะ “ย้ายฝั่ง” ไปยังฝั่งที่มีข้อเสนอที่ฟังดูเข้าท่าได้เสมอ
ก็น่าสนใจว่า เอาจริงๆ คนอเมริกันส่วนที่จะเป็น “ตัวพลิกผลเลือกตั้ง” ก็อาจเป็น “คนกลางๆ” อย่าง โจ โรแกน ก็เป็นได้
อ้างอิง:
- The Intercept. As Joe Rogan’s Platform Grows, So Does the Media and Liberal Backlash. Why?. https://bit.ly/3itITmE
- The Telegraph. The Joe Rogan effect: how a libertarian pothead became podcasting’s $100m man. https://bit.ly/34fKLKx
- Rolling Stone. How Joe Rogan Went From UFC Announcer to 21st-Century Timothy Leary. https://bit.ly/3iohbHR
- BBC. Why Joe Rogan’s exclusive Spotify deal matters. https://bbc.in/30nlQTZ
- PowerfulJRE. The Joe Rogan Experience. https://bit.ly/3jp5AJF