3 Min

มหาตมะคานธีคือพวกเหยียดผิว?

3 Min
730 Views
25 Sep 2020

หากจะพูดถึงมหาตมะคานธี โดยทั่วไปเราคงจำ “มหาบุรุษ” ชาวอินเดียผู้นี้ในฐานะของนักสันติวิธีผู้มุ่งมั่นประท้วงด้วยสันติวิธีจนอินเดียได้เป็นเอกราชจากอังกฤษ

แต่ “มหาบุรุษ” ผู้นี้ก็มี “ด้านมืด”

ในการประท้วง #BlackLivesMatter ในปี 2020 ในความเดือดดาลของการประท้วง สิ่งที่จะพบก็คือรูปปั้นบุคคลสำคัญต่างๆ ที่มีประวัติ “เหยียดผิว” หรือเคยกดขี่คนดำนั้นโดนพ่นสี ทุบทำลาย หรือถูกรื้อถอนไปมหาศาล และนี่ก็ไม่ใช่แค่คนเล็กๆ น้อยๆ ที่เคยมีประวัติ “ค้าทาส” เท่านั้น เพราะบุคคลสำคัญระดับชาติของหลายๆ ประเทศก็ยังไม่รอด ซึ่งนี่รวมถึงคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส “ผู้ค้นพบ” ทวีปอเมริกา กษัตริย์เลโอโปลด์ที่ 2 ของเบลเยียมที่มีส่วนในการพัฒนาชาติเบลเยียมให้เป็นดังทุกวันนี้ ไปจนถึงนายกรัฐมนตรีผู้นำอังกฤษผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างวินสตัน เชอร์ชิล

บุคคลที่ว่ามาเหล่านี้ แม้ว่าจะเป็นบุคคลสำคัญของชาติหรือกระทั่งของโลก ก็เรียกได้ว่าไม่รอดจากความโกรธเกรี้ยวของเหล่าผู้ประท้วงเพื่อสิทธิคนดำที่ลุกลามจากอเมริกาไปทั่วชาติตะวันตก จนถึงชาติอดีตอาณานิคมต่างๆ

ในบรรดา “รูปปั้น” ที่ถูกถอดถอนไป รูปปั้นที่คน “เป็นงง” ที่สุดก็น่าจะหนีไม่พ้นรูปปั้นของมหาตมะคานธี ที่ถูกถอนจากมหาวิทยาที่กานาไปแล้ว และนอกจากนี้ ในอังกฤษ ก็ยังมีการล่ารายชื่อให้ถอดถอนรูปปั้นคานธีจากมหาวิทยาลัยเลสเตอร์อีกด้วย

ที่น่าจะเป็นงงกันก็เพราะ ในกรณีของคนอื่นๆ เราน่าจะไม่แปลกใจนักที่เคยมีประวัติ “เหยียดผิว” เพราะทุกคนล้วนเป็น “คนขาว” ซึ่งในอดีต การจะมีทาสคนดำหรือกระทั่งเหยียดผิวนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติตามมาตรฐานสังคมสมัยนั้น

แต่คานธีที่เป็นยอดนักสู้ต่อต้านอาณานิคมด้วยสันติวิธีชาวอินเดียนี่นะ “เหยียดผิว”?

คำตอบคือ นี่เป็นเรื่องจริงครับ แต่มันต้องการคำอธิบายหน่อย

คานธีในวัยหนุ่มได้เคยใช้ชีวิตในแอฟริกาใต้ในช่วงปี 1893-1914 โดยเขาไปทำงานเป็นทนาย ซึ่งในสมัยนั้น เขาก็ไม่มีความเห็นลงรอยกับ “คนดำ” เท่าไร ซึ่งเราก็ต้องเข้าใจกันก่อนว่าในแอฟริกาใต้ในอดีต คนดำที่เป็นคนพื้นเมืองคือพลเมืองชั้นสามมาตลอด พลเมืองชั้นหนึ่งคือคนขาวเจ้าอาณานิคม ส่วนพลเมืองชั้นสองคือพวกคนอินเดียที่ถูก “นำเข้า” มาช่วยเจ้าอาณานิคมปกครองคนดำ และคานธีก็เป็นหนึ่งในนั้น

แม้ว่าคานธีจะเป็น “นักต่อต้านอาณานิคม” มานานแล้วตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่เขามองว่าการต่อสู้ต่อต้านอาณานิคมของอินเดียกับแอฟริกาใต้เป็นคนละเรื่องกัน โดยเขาเรียกคนดำว่า Kaffir ซึ่งเป็นคำเทียบเท่ากับคำว่า “ไอ้มืด” ในสมัยนี้ และเขาบรรยายพวกคนดำในแอฟริกาว่าเป็นพวกป่าเถื่อน ล้าหลัง สกปรก ซึ่งถ้าจะมองอย่างเป็นธรรมแล้ว ความเห็นของคานธีก็คือความเห็นของคนอินเดียในแอฟริกาใต้ปกติที่มีต่อคนดำที่เป็นคนท้องถิ่น ไม่ได้มีอะไรแปลกในมาตรฐานสมัยนั้น

และนี่คือข้อเท็จจริงที่รู้กันดี ขนาดคนเขียนชีวประวัติของคานธีที่เป็นหลานแท้ๆ อย่าง ราชโมฮัน คานธี ยังออกมายอมรับเลยว่าปู่ของเขาตอนหนุ่มๆ ไม่ได้ชอบคนดำเท่าไร และการต่อสู้เพื่อสิทธิของคานธีนั้น เอาจริงๆ คือการต่อสู้เพื่อสิทธิของคนอินเดียเท่านั้น เขาไม่ได้รู้สึกว่าเขาเกี่ยวอะไรกับพวกคนดำและจำเป็นต้องสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับคนดำ

กล่าวคือ ในทางประวัติศาสตร์ เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่ามหาตมะคานธีเป็น “คนเหยียดผิว” ในมาตรฐานปัจจุบันแน่นอน

ซึ่ง “คนเหยียดผิว” ในยุคที่คนตื่นตัวเรื่องความอยุติธรรมคนดำอย่างทุกวันนี้ก็ถือว่าไม่ควรจะเคารพ ไม่ว่าเขาจะมีคุณงามความดีแค่ไหนในด้านอื่นๆ และคานธีก็เป็นอีกคนที่ต้องไป

ทั้งนี้ เอาจริงๆ การถอนรูปปั้นคานธีไม่ใช่เรื่องใหม่เท่าไรเพราะในปี 2015 ก็มีการรณรงค์ให้ถอนรูปปั้นคานธีออกจากกรุงโยฮันเนสเบิร์กแล้ว แต่ในตอนนั้นประเด็นนี้ไม่ได้เป็นที่สนใจแบบปัจจุบัน

ดูเหมือนว่าการประท้วง #BlackLivesMatter คราวนี้ แม้ว่าเหล่าคนดำอาจไม่ได้ความยุติธรรมกลับมา หรือคุณภาพชีวิตก็คงจะไม่พัฒนาขึ้น แต่อย่างน้อยๆ การ “กระชากหน้ากาก” เหล่าบุคคลสำคัญในอดีตที่เคย “เหยียด” หรือกดขี่คนดำก็ได้เกิดขึ้นในวงกว้างแล้ว

ซึ่งก็น่าสงสัยว่าหลังจากการประท้วงนี้ จะเหลือรูปปั้นอนุสาวรีย์ในโลกตะวันตกสักเท่าไรกัน เพราะเอาจริงๆ แล้ว ถ้าใช้มาตรฐานปัจจุบันไปตัดสินอดีต ก็ยากที่ “บุคคลสำคัญ” ผู้มีอำนาจหลายๆ คนในโลกตะวันตกจะไม่เกี่ยวข้องกับการเหยียดผิวหรือการกดขี่คนดำไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง