พรรคเดโมแครต 101: จากพรรคที่เคยสนับสนุนระบบทาส สู่การเป็นพรรคที่ ‘คนดำ’ อเมริกันต้องเลือก
“ถ้าคุณมีปัญหาตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกผมหรือทรัมป์ คุณก็ไม่ใช่คนดำแล้วล่ะ”
โจ ไบเดน ผู้สมัครลงสนามประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ประกาศกลางรายการวิทยุที่พิธีกรเป็นคนดำ เมื่อวัน 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา (ดูคลิปได้ที่: https://bit.ly/3hgsdhE)
แน่นอน ประโยคนี้สร้างคำครหาไม่น้อย และไบเดนต้องออกมาขอโทษในที่สุด แต่ประเด็นที่น่าสังเกตก็คือไบเดนรู้สึกว่าคนดำคือ “ของตาย” เดโมแครตส่งใครลงประธานาธิบดี คนดำก็ต้องออกไปโหวตให้ ไม่เช่นนั้นไบเดนคงไม่พูดออกมาแบบนั้น
ซึ่งในทางสถิติก็เป็นเช่นนั้น ฐานเสียงของพรรคเดโมแครตทุกวันนี้ก็คือ ‘คนดำ’ และในสนามเลือกตั้งประธานาธิบดี คนดำราว 90% จะเลือกพรรคเดโมแครต
แต่รู้ไหมว่า ถ้าย้อนกลับไปยุคแรกๆ พรรคเดโมแครตเป็นพรรคที่สนับสนุนการมีทาส ในขณะที่พรรคฝั่งตรงข้ามอย่างรีพับลิกันในเวลานั้นเป็นพรรคที่ทำการ “เลิกทาส” (หลายคนอาจไม่รู้ว่า ‘อับราฮัม ลินคอล์น’ เป็นสมาชิกรุ่นก่อตั้งพรรครีพับลิกัน และเป็นประธานาธิบดีคนแรกจากพรรคนี้)
แล้วทำไมวันนี้ทุกอย่างเหมือนกลับตาลปัตร คน ‘เหยียดผิว’ กลับไปเลือกพรรครีพับลิกัน
แล้วคนสนับสนุนความเท่าเทียมถึงเลือกพรรคเดโมแครต?
1.
พรรคเดโมแครตก่อตั้งเมื่อปี 1828 โดยแอนดรูว์ แจ็กสัน ซึ่งต่อมาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 7 ของสหรัฐอเมริกา
ด้วย ‘ความเก่า’ ของพรรคที่อายุเกือบ 200 ปี เรียกได้ว่าพรรคเดโมแครตของอเมริกาเป็นพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังดำเนินการอยู่จนถึงปัจจุบัน
อุดมการณ์ยุคแรกของเดโมแครตค่อนข้างชัดเจนมาก พรรคเชื่อว่ารัฐต่างๆ รวมทั้งรัฐบาลกลางควรจะมีระเบียบกฎเกณฑ์น้อยที่สุด เพื่อให้คนมีเสรีภาพมากที่สุด
ซึ่งหนึ่งใน ‘เสรีภาพ’ ที่ว่านี้คือเสรีภาพในการซื้อมนุษย์ในฐานะทรัพย์สิน หรือเสรีภาพในการมีทาส
2.
ในตอนกลางศตวรรษที่ 19 สังคมอเมริกันโต้เถียงกันอย่างรุนแรงว่า ‘ทาส’ ควรจะยังเป็นสิ่งถูกกฎหมายหรือไม่
เพราะพวกรัฐทางเหนือล้วนออกกฎหมายไม่ให้มีทาสแล้ว ขณะที่รัฐทางใต้ การมีทาสกลายเป็น ‘วิถีชีวิต’ อันภาคภูมิ เพราะระบบทาสจำเป็นต่อสังคมเกษตรของอเมริกาทางใต้
หากยกเลิกระบบทาส คำถามคือใครจะปลูกฝ้าย?
แน่นอน ระบบเศรษฐกิจที่ดำเนินมายาวนานย่อมปั่นป่วน แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ในยุโรปขณะนั้นไม่มีชาติใดมีทาสอยู่อีกแล้ว ซึ่งนี่ทำให้ชาติอย่างอเมริกาที่กำลังก้าวหน้าทัดเทียมยุโรป เป็นสิ่งแปลกประหลาด และสร้างความขัดแย้งในอเมริกา
ความขัดแย้งที่ว่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในสังคมวงกว้าง แต่เกิดขึ้นภายในพรรคเดโมแครตเช่นกัน เพราะสมาชิกพรรคทุกคนไม่ได้มีความเห็นพ้องกัน
ผลก็คือพวกสมาชิกพรรคกลุ่มที่ต้องการให้มีการเลิกทาสก็เดินออกจากพรรค เพราะพวกตนเป็นคนส่วนน้อย และคนพวกนี้ก็แห่ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคน้องใหม่อย่างรีพับลิกัน ซึ่งมีนโยบายชัดเจนว่าจะเลิกทาส
3.
ใครจะพอทราบประวัติศาสตร์อเมริกา ความขัดแย้งในประเด็น ‘ประเทศควรจะมีทาสหรือไม่?’ ได้นำอเมริกาเข้าสู่ ‘สงครามกลางเมือง’ ระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้
สุดท้ายฝ่ายเหนือเป็นผู้ชนะ และแก้รัฐธรรมนูญให้ทุกรัฐในสหรัฐอเมริกาห้ามมีทาสอีกต่อไป
หลังจากเลิกทาส ไม่ได้หมายความว่าความเท่าเทียมจะบังเกิด อเมริกายังคงเป็นประเทศที่รัฐบาลท้องถิ่นมีอำนาจสูงมาก และรัฐทางใต้ก็มีการออกกฎหมายที่จะก่อให้เกิดการกีดกันและเลือกปฏิบัติกับคนดำโดยเฉพาะ เช่น การจัดพื้นที่ ‘เขตปลอดคนดำ’ การระบุที่นั่งเฉพาะคนดำในรถโดยสารสาธารณะ เป็นต้น (สิ่งเหล่านี้เรียกรวมๆ ว่า Jim Crow Laws)
ซึ่งคนที่ออกกฎหมายเหล่านี้คือคนของพรรคเดโมแครตทั้งนั้น แม้ว่าฝ่ายใต้จะแพ้หลังสงครามกลางเมือง แต่พอการเมืองกลับมาเป็นปกติ นักการเมืองหน้าเดิมๆ ก็เข้าสภา คนกลุ่มนี้ยังคงอยากให้อเมริกามีทาสเหมือนในอดีต แต่ในเมื่อกฎหมายรัฐบาลกลางให้มีไม่ได้ พวกเขาจึงออกกฎหมายให้สังคมมีสภาพใกล้เคียงกับสมัยที่มีทาส เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันว่า
คนดำจะเป็นพลเมืองชั้น 2 ต่อไป
4.
อย่างไรก็ดี พรรคเดโมแครตในภาพรวมก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปหลังสงครามกลางเมือง โดยเฉพาะในทางนโยบายเศรษฐกิจที่เริ่มจะไม่ค่อยเชื่อแล้วว่า รัฐบาลกลางไม่ควรจะมีบทบาทในการกำกับดูแลเศรษฐกิจอะไรเลย และเริ่มพีคตอนที่ แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีอเมริกาคนที่ 32 ในช่วงเศรษฐกิจอเมริกันตกต่ำที่สุดในปี 1932 จากนั้นเขาก็ออกนโยบายมากมายเพื่อช่วยคนอเมริกัน รวมถึงการเพิ่มอำนาจรัฐ เพื่อป้องกันไม่ให้วิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นอีก
ถ้ามองจากทุกวันนี้ นโยบายพวกนี้ของโรสเวลต์ถือเป็น “เรื่องปกติ” เพราะไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่าแรงขั้นต่ำ การมีสวัสดิการสังคมเบื้องต้นไปจนถึงการตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์ ก็เป็นสิ่งที่เป็น ‘มาตรฐาน’ แล้วในโลกปัจจุบัน
แต่ในความเป็นจริง สำหรับอเมริกาตอนนั้น สิ่งเหล่านี้เรียกว่า “ผิดจารีต” ในทางการเมืองมาก เพราะคนอเมริกันไม่เชื่อว่ารัฐบาลกลางมีอำนาจหน้าที่เหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ควรจะเป็นอำนาจของรัฐบาลในแต่ละรัฐ รัฐบาลกลางไม่มีสิทธิ์จะมาสั่ง เพราะขนาดพรรครีพับลิกันที่เชื่อในบทบาทรัฐบาลกลางในทางการเมืองมากกว่ายังไม่คิดเลยว่า การขยายอำนาจรัฐบาลกลางในการแทรกแซงเศรษฐกิจแบบนี้เป็นสิ่งเหมาะควร
นี่เลยเป็นเหตุให้ยุคสมัยของแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ เป็นหมุดหมายสำคัญมากๆ ของ “การเมือง” ของพรรคเดโมแครต เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พรรคมีแนวทางแบบ “ซ้าย” ในมาตรฐานปัจจุบัน เพราะก่อนหน้านี้ ถ้าใช้มาตรฐานปัจจุบันมองพรรคเดโมแครตถือเป็นพรรคแบบ “ขวาจัด” มาตลอดกว่า 100 ปีแรกของประวัติศาสตร์พรรค
และนี่ทำให้ทางพรรคเริ่มมองเห็นฐานเสียงใหม่ๆ ของฝ่าย ‘ก้าวหน้า’ ที่ค่อยๆ เปิดเผยตัวขึ้นในศตวรรษที่ 20
5.
ต่อมาในยุค 1960’s ภายใต้ขบวนการต่อสู้ทางการเมืองของคนรุ่นใหม่และคนดำ พรรคเดโมแครตได้แปลงสภาพจากพรรค ‘อนุรักษนิยมขวาจัด’ มาเป็นพรรคแบบ ‘เสรีนิยมก้าวหน้า’ อย่างชัดเจนในยุคของจอห์น เอฟ. เคนเนดี ไปจนถึงลินดอน บี. จอห์นสัน ที่ขึ้นเป็นประธานาธิบดีหลังจากเคนเนดีถูกลอบสังหาร
และสมัยของจอห์นสันนี่เองที่พรรคเดโมแครตได้ออกกฎหมายของรัฐบาลกลางที่สำคัญมากๆ ซึ่งอธิบายง่ายๆ คือทำให้การออกกฎหมายแบบ ‘เลือกปฏิบัติ’ กับคนดำทางใต้ที่มีมาเป็นยาวนานต้องเลิกจนไม่เหลือซาก
นอกจากนี้ ก็ยังมีกฎหมายที่ให้สิทธิเลือกตั้งกั้บคนดำอย่างทั่วถึงด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้บางรัฐกีดกันการมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนดำ
พูดง่ายๆ 100 ปีหลังจากเลิกทาส พรรคเดโมแครตก็ค่อยๆ กลายสภาพเป็นพรรคที่พยายามจะยื้อระบบทาสเอาไว้สุดชีวิต จนกลายมาเป็นพรรคที่สนับสนุนให้เลิกทาสอย่างสมบูรณ์แบบผ่านการออกกฎหมายการันตีว่า คนดำทั่วอเมริกาจะต้องได้สิทธิ์เท่าเทียมกับคนขาวทุกประการในที่สุด
ดังนั้น ในแง่นี้ ยุคตั้งแต่จอห์นสันเป็นต้นมา คนดำจึงเริ่ม ‘เห็นคุณค่า’ พรรคเดโมแครตมากขึ้น เพราะนี่คือพรรคที่ออกกฎหมายให้สิทธิ์คนดำเลือกตั้งอย่างสมบูรณ์ และคนดำแทบจะทั่วอเมริกาก็ทดแทนคุณพรรคนี้ด้วยการไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั้งระดับรัฐและระดับประเทศ จนทำให้คนของพรรคเดโมแครตอย่างโจ ไบเดน มองว่าคนดำคือคะแนนเสียงที่เป็น ‘ของตาย’ อย่างที่เล่ามาในบรรทัดแรกสุด
อย่างไรก็ดี การ ‘พลิกขั้ว’ ของพรรคเดโมแครตก็สร้างความวุ่นวายมาเป็นสิบปี เพราะหลังจากจอห์นสันหมดสมัยในปลายยุค 1960’s ทางพรรคก็แทบจะแพ้การเมืองระดับประเทศต่อเนื่อง เพราะตั้งแต่ปี 1968-1992 เป็นเวลา 24 ปี หรือนับเป็น 6 สมัยของประธานาธิบดี พรรคเดโมแครตมีประธานาธิบดีแค่คนเดียวคือ จิม คาร์เตอร์ และได้เป็นแค่สมัยเดียวด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่าอีก 5 สมัย พรรครีพับลิกันชนะ และชนะขาดลอย
คำถามคือ เกิดอะไรขึ้น!?
6.
หลังจากพรรคเดโมแครต ‘ได้ใจคนดำ’ ในยุค 1960’s ก็มีผลข้างเคียงคือ คนขาวทางใต้ที่เคยเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคมาตลอดก็ถูกทอดทิ้ง และเทคะแนนมาให้พรรครีพับลิกัน ซึ่งปรากฏการณ์นี้ ถ้าจะให้เห็นภาพ ก็ต้องดูผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของ ‘รัฐเท็กซัส’
เท็กซัส ในอดีตน่าจะถือว่าเป็นรัฐที่มีลักษณะ Swing State ที่สำคัญมาก กล่าวคือเป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่มาก และผู้ลงประธานาธิบดีทั้งสองฝั่งนั้นก็ “มีลุ้น”
โดยฝั่งที่มีลุ้นมากกว่าแต่ไหนแต่ไรมาก็คือฝั่งพรรคเดโมแครตตามประสารัฐทางใต้ อย่างไรก็ดีตั้งแต่ปี 1980 ที่โรนัลด์ เรแกน ได้รับคะแนนเสียงท่วมท้นจากทั่วอเมริกาเป็นประธานาธิบดี เท็กซัสก็หยุดเป็น Swing State และเป็น “ของตาย” ของพรรครีพับลิกันมาจนถึงทุกวันนี้
ในทำนองเดียวกัน รัฐทางใต้ต่างๆ ที่เคยเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเดโมแครตมาตลอดประวัติศาสตร์ 150 ปีแรกของพรรคก็เปลี่ยนไปเป็นพรรคที่เป็นฐานสำคัญของพรรครีพับลิกันไปในช่วงเวลาเดียวกัน
การสูญเสียฐานเสียงทางใต้ทำให้พรรคเดโมแครตเสียหลักมากๆ เรียกว่ากว่าจะกลับมาเข้ารูปเข้ารอยก็ตอนปี 1992 ตอนที่ บิล คลินตัน ชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดี และตั้งแต่ยุคนั้นก็เลยเกิดพรรคเดโมแครตยุคใหม่ที่มีแนว ‘อนุรักษนิยมทางเศรษฐกิจ แต่ก้าวหน้าในทางสังคม’ แบบที่เรารู้จักทุกวันนี้ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรนักที่คนอเมริกันที่ไม่ใช่คนขาวจะนิยมเลือกพรรคเดโมแครตมากกว่ารีพับลิกัน เพราะตั้งแต่ยุค 1960’s เป็นต้นมา คนดำยังคงเป็นฐานเสียงสำคัญมาจนถึงทุกวันนี้
และนี่ก็คือเรื่องราวของพรรค ‘เดโมแครต’ ’ที่มีอายุเกือบ 200 ปี ที่เปลี่ยนขั้วการเมืองจากพรรคที่เคยสนับสนุนให้คงระบบทาสเอาไว้ จนกลายมาเป็นพรรคขวัญใจคนดำในที่สุด