หลังจากปรากฏการณ์สุริยุปราคาครั้งล่าสุดบางกระแสบอกว่า นอกจากจะเป็นวันสุริยุปราคาและวันครีษมายัน (ดวงอาทิตย์โคจรไปถึงจุดสุดทางเหนือ ซึ่งวันนั้นกลางวันจะยาวนานกว่ากลางคืน) ยังเป็นวันที่ “โลก (จะ) แตก” อีกด้วย
ทฤษฎีโลกแตกไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งพูดถึงกันครั้งแรก เพราะเมื่อปี 2012 หรือแม้แต่ตอนขึ้นสหัสวรรษใหม่ในปี 2000 ก็เคยมีทฤษฎีโลกแตกมาแล้ว
แต่การที่โลกจะแตกแบบ “ถูกทำลาย” หากมองในมุมวิทยาศาสตร์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ
มาดูกันว่า ถ้าโลกจะต้องแตกจริงๆ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ระบุจะมีวิธีไหนที่จะทำให้ ‘โลกแตก’ ได้บ้าง
1. แกนโลกเย็น
อย่างที่ทราบกันว่าโลกของเราแบ่งออกเป็นชั้นๆ ด้านในสุดเป็นลูกบอลแข็งๆ (inner core) ซึ่งเป็นตัวสร้างกระแสไฟฟ้าขนาดยักษ์ หรือสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ห่อหุ้มโลก (ชั้นนอก) ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการปกป้องโลกจากพายุสุริยะ
ดังนั้นถ้าหากแกนโลกเย็นตัวลง โลกจะสูญเสียสนามแม่เหล็ก และจะถูกพลังงานจากดวงอาทิตย์ค่อยๆ ทำลายชั้นบรรยากาศจนหมดสิ้น
2. ดวงอาทิตย์ ‘ตาย’ และขยายตัว
ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ และดาวฤกษ์มีวัน ‘ตาย’ ว่ากันว่าอย่างน้อยอีกหลายล้านปีข้างหน้า พระอาทิตย์จะเข้าสู่กระบวนการตาย แต่ก่อนที่จะหมดพลังงานโดยสิ้นเชิง โลกของเราน่าจะตายไปก่อน
เพราะเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มเข้าสู่กระบวนการตาย พลังงานจะยังไม่ได้หายไปในทันที แต่จะเกิดปฏิกิริยาที่ ‘ขยาย’ ออก ส่วนโลกเรานั้นจะถูกดึงเข้าไปใกล้จนโดน ‘เผาเกรียม’ หรืออาจถูกผลักออกจากระบบสุริยะจน ‘แข็งตาย’
3. หลุดออกจากระบบสุริยะ
ดาวเคราะห์ถูกเตะออกจากระบบสุริยะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในจักรวาล และวันหนึ่งโลกของเราอาจเป็นหนึ่งในนั้น แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่ดีๆ โลกจะหลุดออกไปได้ง่ายๆ ยกเว้นว่าจะมีดาวเคราะห์ที่ไม่ได้อยู่ในระบบสุริยะบังเอิญถูกดึงเข้ามาในระบบ สิ่งที่เกิดขึ้นคือโลกเราอาจถูกผลักจน ‘หลุด’ ออกนอกระบบสุริยะ หรือโดนผลักให้ไปชนกับดาวดวงอื่นก็ได้
4. ดาวเคราะห์ชนโลก
แทนที่จะเกิดการ ‘เข้ามาแทนที่’ และผลักเรากระเด็นเหมือนข้อ 3 ความน่าจะเป็นที่อาจเกิดขึ้นก็คือดาวเคราะห์ดวงใหม่อาจ ‘ชน’ โลกเราได้แบบดื้อๆ ฟังดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่ความจริงโลกเราเคยถูกชนมาแล้วเมื่อ 4.5 พันล้านปีก่อน จนเกิดทฤษฎีว่าการชนครั้งนั้นทำให้ส่วนหนึ่งของโลกหลุดออกไปเป็นดวงจันทร์
5. อุกกาบาตและดาวหางโจมตีโลก
ในจักรวาลมีของแข็งหรือดาวเคราะห์น้อยจำนวนมากลอยอยู่ ถ้าหากของแข็งก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง เช่น อุกกาบาตหรือดางหางตกลงมาบนโลก สิ่งมีชีวิตอาจถูกทำลาย แต่ถ้าจะทำลายโลกทั้งใบ ของแข็งก้อนเดียวอาจน้อยไป แม้ว่าจะไม่สามารถระบุจำนวนที่แน่นอนได้ เพราะความรุนแรงขึ้นอยู่กับขนาดและธาตุของแต่ละก้อน แต่ตามทฤษฎีโลกเราสามารถถูกทำลายจน ‘แตก’ ได้จากการโดน “กระหน่ำยิง”
6. หลุมดำดูด
สำหรับหนังไซไฟอวกาศ ไม่มีอะไรที่จะป๊อปปูล่าเท่ากับหลุมดำอีกแล้ว แม้ว่าเราจะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับหลุมดำมากนัก แต่ที่แน่ๆ เรารู้ว่าหลุมดำสามารถกลืนดาวเคราะห์ไปได้ง่ายๆ ด้วยแรงดึงดูดมวลมหาศาล เพราะแม้กระทั่งแสงก็หลุดรอดจากแรงดูดของหลุมดำไม่ได้ ดังนั้นดาวเคราะห์ก็อย่าหวัง และถึงแม้ว่าโลกจะไม่ได้ถูกดูดโดยตรง แต่แรงดึงดูดจากระยะไกลสามารถส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหว หรือดึงเราออกนอกระบบสุริยะได้
7. การปะทุของรังสีแกมมา
รังสีแกมมา คือรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีพลังทะลุทะลวงสูง เกิดจากการสลายของกัมมันตภาพรังสี หรือรังสีคอสมิก การปะทุของรังสีแกมมาอาจเกิดขึ้นเมื่อดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ ‘ยุบตัว’ ในกระบวนการตาย ซึ่งการระเบิดพลังงานนั้นมีอานุภาพสูงกว่าดวงอาทิตย์ของเราตลอดช่วงอายุขัย ถ้าหากโลกเราเจอกับการปะทุของรังสีแกมมา ชั้นโอโซนจะถูกทำลายด้วยแสงอัลตร้าไวโอเล็ต และผลักให้โลกเยือกแข็ง
8. จุดจบของจักรวาล
ไม่ใช่แค่โลกแตก นี่คือทฤษฎีว่าด้วยการสิ้นสุดของจักรวาล เช่นเดียวกับดาวฤกษ์ จักรวาลเองก็มี ‘จุดจบ’ เหมือนกัน ปัจจุบันเราเชื่อว่าจักรวาลกำลังขยายตัวออกไปเรื่อยๆ จากการระเบิดของบิ๊กแบง แต่เมื่อขยายตัวไปถึงจุดหนึ่งแล้ว จะเกิดการเย็นตัวลง และสสารทุกมวลจะถูกฉีกขาดออกจากกัน ซึ่งสภาวะนี้เรียกว่า Big Rip หรือการแตกสลายของจักรวาล
อย่างไรก็ดี นี่เป็นทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่มีการตั้งสมมติฐานและคาดเดาว่า ‘อาจจะ’ เกิดขึ้น
แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้น น่าจะใช้เวลาอย่างน้อยหลายล้านปี และมนุษย์เองก็ไม่น่าจะดำรงเผ่าพันธุ์อยู่จนถึงวันนั้น
อ้างอิง:
- Business Insider. 8 truly horrifying ways the Earth could die. https://bit.ly/2YnRMXU