ยุคปัจจุบันเป็นยุคที่คนเปลี่ยนไปเป็นมังสวิรัติกันเยอะมาก เพราะต้องการจะช่วยให้โลกร้อนน้อยลง (เนื่องจากการผลิตพืชนั้นทั้งกระบวนการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าการผลิตเนื้อสัตว์) ซึ่งหลายคนก็อาจจะรู้สึกด้วยว่านี่ก็เป็นการดี เพราะมันไม่ไปเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย
คำถามตลก ๆ ที่บางคนชอบยกมาแซวคนเป็นมังสวิรัติคือ แล้วการกินพืชไม่เป็นการพรากชีวิตเหรอ? แค่พืชไม่กรีดร้องเวลาโดนฆ่าแบบสัตว์นี่ จะทำให้เราฆ่าแกงมันได้แบบเสรีเหรอ
ซึ่งงานวิจัยล่าสุดก็ชี้แล้วนะครับว่าการพูดแบบนี้อาจสร้างความเข้าใจผิด เพราะจริง ๆ พืชนั้น “กรีดร้อง” ไม่ได้ต่างจากสัตว์ แค่ความถี่นั้น ไม่ใช่ความถี่ที่มนุษย์ได้ยิน แต่มันเป็นความถี่ที่สัตว์บางชนิดที่มีประสาทสัมผัสเสียงมากกว่ามนุษย์ได้ยิน
แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น เราขออัปเดตองค์ความรู้เรื่อง “ชีวิต” ของพืชก่อน
คือเอาจริง ๆ ช่วงหลัง ๆ ในโลกวิชาการ มันมีข้อถกเถียงมาสักพักแล้วนะครับว่าพืชนี่ควรจะถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสำนึกรู้ตัวเองหรือไม่ และเอาจริง ๆ ก็มีงานจำนวนมากชี้ว่าพืชมี “ประสาทสัมผัส” หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการ “เห็น” “ได้ยิน” “รับกลิ่น” หรือกระทั่ง “สัมผัส”
เท่านั้นยังไม่พอ มันก็ยังมีงานวิจัยที่ชี้ว่าพืชมี “การสื่อสาร” ระหว่างกันได้ แค่นั่นไม่ใช่การสื่อสารด้วยเสียงหรือภาพแบบที่มนุษย์เข้าใจ แต่เป็นการสื่อสารกับผ่าน “เชื้อรา”
กล่าวโดยสรุปคือ ช่วงก่อนหน้านี้ มันมีงานทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่ยืนยันว่าเอาจริง ๆ พืชนั้นก็ไม่ได้ยืนอยู่นิ่ง ๆ มันรับรู้โลกได้ และมันสื่อสารกันในบางรูปแบบก็ได้เช่นกัน
ดังนั้นมันเป็นที่ยอมรับกันมาสักพักแล้วว่าจริงๆ ต้นไม้นี่มีลักษณะคล้ายกับสัตว์มากกว่าที่เราเคยเข้าใจกันมาตลอดประวัติศาสตร์ มันมีทั้งการสัมผัส และการสื่อสาร แค่มันไม่ได้ทำในแบบที่มนุษย์จะเข้าใจได้ตามปกติ
ทีนี้มันก็มีการศึกษาไปเรื่อย ๆ ว่ามันมีทาง “สื่อสาร” อะไรได้บ้าง และมันก็มีนักวิจัยทดลองง่าย ๆ ว่า ถ้าเราลองตัดกิ่งมันดู มันจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
แน่นอน มนุษย์ปกติก็คงไม่รู้สึกว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่นักวิจัยลองเอาไมค์ไปจ่อ แล้วเอา “เสียง” ที่ได้รับมาวิเคราะห์ เขาพบว่าเวลาต้นไม้ (เขาทดลองกับต้นมะเขือเทศ และยาสูบ) โดนตัด หรือเวลามันขาดน้ำมาก ๆ มันจะส่งเสียงคลื่นความถี่สูงมาก ๆ ออกมา ซึ่งความถี่ที่ว่านี่ประมาณ 20-100 กิโลเฮิร์ซ อันเป็นความถี่ที่เกินขอบเขตการได้ยินของมนุษย์ (โดยทั่วไปเขาถือว่ามนุษย์จะได้ยินเสียงประมาณในย่าน 20 เฮิร์ซ ถึง 20 กิโลเฮิร์ซ)
ซึ่งทางนักวิจัยก็ยืนยันว่าเป็นเสียงของพืชจริง ๆ เพราะเขาได้สร้างโมเดลใช้ AI ทำการแยกเสียงสิ่งแวดล้อมออกไปแล้ว และนักวิจัยก็อธิบายว่า ถึงพืชจะไม่มีเส้นเสียงหรืออวัยวะที่ใช้ส่งเสียงโดยเฉพาะอะไร แต่ในทางทฤษฎี พืชสามารถส่งเสียงโดยสร้างฟองอากาศในเนื้อเยื่อได้
นักวิจัยชี้ว่า นี่น่าจะทำให้สัตว์ต่าง ๆ สามารถ “ฟังเสียง” ของพืชได้ เช่นถ้ามีตัวหนอนมากินใบแล้วพืชส่งเสียง สัตว์ที่กินตัวหนอนเป็นอาหารก็จะได้ยินเสียง “กรีดร้อง” ของพืชแล้วรีบมายังพืชเพื่อกินตัวหนอน ดังนั้นในทางปฏิบัติ เสียงความถี่สูงหรือ “เสียงกรีดร้อง” ดังกล่าวก็เหมือนเสียง “ขอความช่วยเหลือ” ของพืช
ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้ว่าเราจะบอกได้ว่าพืช “กรีดร้อง” เวลาโดนตัด แต่นั่นก็ยังห่างไกลจากการเคลมว่าพืชจะสามารถมีความเจ็บปวดได้ เพราะในทางวิทยาศาสตร์ การพูดถึงความเจ็บปวดมันคือการพูดถึงประสาทรับรู้ความเจ็บปวด ซึ่งแม้แต่สัตว์ที่มีระบบประสาท ก็ไม่ใช่ทุกชนิดที่จะมีประสาทรับความเจ็บปวด (ทุกวันนี้สัตว์ที่มนุษย์ยังเถียงกันว่ามีความเจ็บปวดหรือไม่ก็ได้แก่กุ้งล็อบสเตอร์ เพราะวิธีการประกอบอาหารที่ใช้กันคือการต้มมันทั้งเป็น ถ้ามันรับรู้ความเจ็บปวดได้ นี่ก็ถือว่าเป็นการทรมานสัตว์) ส่วนพืชนั้นไม่มีประสาทสัมผัสที่ว่าแน่ ๆ ในกระบวนความรู้ชีววิทยาในปัจจุบัน
ดังนั้น แม้ว่าวิทยาศาสตร์จะพบว่าพืชส่งเสียงแหลมสูงราวกับกรีดร้องเวลาโดนตัด เราก็อย่าได้กินพืชผักกันน้อยลงเลยครับ เพราะมันก็คงไม่ได้ “เจ็บ” แบบที่เราเข้าใจกันในความ “เจ็บ” ได้อยู่ดี
อ้างอิง: http://bit.ly/39LLJA3