28 ตุลาคม 2562 เป็นวันที่มีข่าวร้ายในวงการฟุตบอลไทย โดยเฉพาะสำหรับแฟนบอลชาวจังหวัดระยองคงไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เมื่อสโมสร พีทีที ระยอง ประกาศพักทีมอย่างไม่มีกำหนด โดยทางบอร์ดบริหารของทีมให้เหตุผลว่า ทีมประสบปัญหาเรื่องการบริหารที่ขาดทุน อีกทั้งการทำทีมไม่ใช่งานถนัดของกลุ่ม ปตท. ทว่าทางกลุ่มฯ ยังคงให้การสนับสนุน พีทีที อะคาเดมี เพื่อพัฒนานักเตะเยาวชนต่อไป
“ไม่มีใครพรากประวัติศาสตร์ไปจากเรา” คือวาทะของ โค้ชโจ-ธีรศักดิ์ โพธิอ้น ผู้รับหน้าที่กุมบังเหียนทีม “พลังเพลิง” พีทีที ระยอง ผ่านช่วงเวลาที่น่าจดจำ นับตั้งแต่สามารถสร้างประวัติศาสตร์ของทีม โดยการคว้าแชมป์เอ็ม-150 แชมเปี้ยนชิพ (ไทยลีก 2) เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2018 พร้อมหวนกลับสู่ลีกสูงสุดในรอบ 5 ปี จนกระทั่งถึงวันที่ข่าวลือเรื่องการพักทีมได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริง ทุกคนในทีมพลังเพลิงทั้งสต๊าฟโค้ช นักเตะ และทุกฝ่ายก็ยังแสดงถึงความเป็นมืออาชีพด้วยการกัดฟันสู้ถึงที่สุด จนสามารถพาทีมหนีตกชั้นได้สำเร็จตั้งแต่ก่อนจบฤดูกาล 2019 ถึง 2 นัด และครองอันดับ 11 ของลีกสูงสุดได้อย่างน่าภาคภูมิใจ
ถึงวันนี้เชื่อว่าแฟนๆ พลังเพลิงชาวระยองยังคงรักและคิดถึงทีมที่พวกเขาติดตามเชียร์ด้วยความผูกพัน ยังคงจดจำบรรยากาศในสนามแข่ง เสียงตะโกนก้องในวันที่ทีมได้ชัยชนะ เสียงให้กำลังใจเมื่อทีมพบความพ่ายแพ้ และอาจมีบางคนแอบหวังว่าสักวันทีมรักของเขาจะกลับมาโลดแล่นในไทยลีกได้อีกครั้ง
ในวาระครบรอบ 1 ปีของการพักทีมพีทีที ระยอง เพจ Play Now Thailand จึงถือโอกาสไปพูดคุยกับอดีตทีมงานของสโมสร ทั้งโค้ชและนักเตะบางส่วน เพื่อให้พวกเขาร่วมรำลึกถึงการต่อสู้ที่ผ่านมา ความสำเร็จ การจากลา และแฟนบอลของทีมที่ยังรู้สึกผูกพันต่อกัน
“แมตช์พบการท่าเรือ เอฟซี เป็นแมตช์แจ้งเกิดของผมอีกรอบเลยครับ ไปเยือนท่าเรือ ทุกคนก็รู้ๆ อยู่มันคือนรกของจริงอย่างที่เขาว่ากัน และไปแบบโดนกดดัน แต่เราก็มีแต้มหนึ่งออกมาได้ ผมก็ช่วยทีมไว้ได้เยอะ ถือว่าประทับใจในผลงานของตัวเองมาก” พีระพงษ์ เรือนนินทร์ ปัจจุบันสังกัดทีมสุโขทัย เอฟซี เล่าถึงการแข่งขันนัดที่เขาประทับใจที่สุดในฤดูกาล 2019 เมื่อครั้งยังทำหน้าที่ผู้รักษาประตูให้กับทีมพลังเพลิง
พีระพงษ์ หรือ “เอิร์น” เล่าว่าเขาย้ายมาสู่ทีมพีทีที ระยอง แล้วได้รับโอกาสลงเล่นอย่างต่อเนื่องจนตนเองฟอร์มดีขึ้นอย่างน่าพอใจ นอกจากนั้นความสัมพันธ์ในทีมยังมีความราบรื่นสนิทสนม ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี กระทั่งถึงวันที่มีข่าวลือเรื่องการยุบทีม
“นักเตะในทีมเขาก็หวังไม่อยากให้ยุบทีม เพราะมันอยู่เป็นครอบครัว รู้สึกดีกันมากอยู่แล้ว เขาก็อยากอยู่กันยาวๆ ตอนแรกก็ลุ้นข่าวกันอยู่ว่าจะจริงหรือไม่จริง แต่สุดท้ายจริงก็ต้องยอมรับ ก็ต้องทำใจ ก็ต้องเดินหน้ากันต่อไปครับ”
สุดท้ายพีระพงษ์สรุปว่า “เสียดายครับ ถ้าไม่มีการยุบทีม ผมก็อยู่ พีทีที ระยอง ต่อครับ”
ขณะที่ “แมน” อภิวัฒน์ เพ็งประโคน อดีตนักเตะอีกคนของ พีทีที ระยอง และขณะนี้ย้ายไปเป็นหัวหอกทีมราชบุรี มิตรผล เอฟซี เล่าความทรงจำที่เขามีต่อทีมพลังเพลิงว่า
“ตอนไปตอนแรกเราก็ไม่คิดว่าจะเป็นตัวหลักของทีม แต่ว่าเราก็พยายามทำให้ดีที่สุด เพราะว่าโดยตำแหน่งการเล่นของเรา (กองหน้า) ที่ต้องแข่งกับผู้เล่นต่างชาติโดยตรง เพราะตำแหน่งนี้มันเป็นความหวังของทีม เราพยายามซ้อมให้หนัก พยายามจนพี่โจให้โอกาสเล่น”
“ตอนแรกก็กดดันครับ เพราะลงนัดแรกยังยิงประตูไม่ได้ แต่นัดที่สองก็ยิงประตูได้เลย เริ่มสร้างความมั่นใจได้ และพาทีมชนะได้มาเรื่อยๆ และมีความหวังจะพาทีมจบเลขตัวเดียวให้ได้”
ความรู้สึกของอภิวัฒน์ไม่ต่างจากเพื่อนร่วมทีมคนอื่น คือตกใจและไม่อยากเชื่อข่าวลือเรื่องการยุบทีมพลังเพลิง “ตอนนั้นพอเริ่มเลกสองขึ้นมา ก็เริ่มมีข่าวหนาหูออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ปตท. เหมือนจะยุบทีมนะ ก็เริ่มมีทีมมีเอเย่นต์มาเสนอสัญญาให้ ตอนนั้นผมตกใจพอสมควรว่ามันจะเป็นข่าวจริงเหรอ เพราะว่า ปตท. ก็ถือว่าเป็นทีมที่มั่นคงที่สุดแล้ว ไม่อยากเชื่อว่าจะยุบทีมจริงๆ”
ในบรรดาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทีมพลังเพลิงทั้งหมด คงปฏิเสธไม่ได้ว่าบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการประคับประคองทีม ปลุกเร้ากำลังใจทุกคนให้ร่วมกันฝ่าฟันมรสุมข่าวลือ และคนที่ต้องแบกรับแรงกดดันต่างๆ นาๆ มากที่สุด ก็คือ โค้ชโจ-ธีรศักดิ์ โพธิ์อ้น ผู้อยู่ร่วมหัวจมท้ายกับทีมพลังเพลิงที่เขาปลุกปั้นจนถึงวันที่ทุกคนร่ำลาแยกย้าย
“ตอนนั้นนั่งอยู่บนรถบัสกับนักบอลทุกคน จะไปเล่นเกมเยือนกับราชบุรี มันมีข่าวออกมาว่า พีทีที ระยอง จะยุบ ในเพจข่าวทุกสำนัก พอลงจากรถ ไปกินข้าวกัน ไม่มีใครพูดกับใครเลย ทุกคนอยู่ในความกดดันหมด แล้วทุกคนก่อนจะซ้อมก็มาคุยกับผมว่า โค้ช มันมีข่าวแบบนี้จะเอายังไง” โค้ชโจย้อนเหตุการณ์วันที่ทีมได้รับข่าวร้าย จนทุกคนอยู่ในภาวะกดดัน และเปิดเผยคำพูดที่กระตุ้นให้ลูกทีมรวมใจกลับมาสู้ต่อ
“ตอนนั้นยังไม่แน่ใจ มีข่าวออกมาเฉยๆ ว่าทีมจะยุบ แต่ผมเรียกเด็กทุกคนมาเปิดอกคุยกันก่อนจะซ้อม ผมบอกว่าถ้าวันนี้ทีมจะยุบจริงๆ แล้วทุกคนไม่อยากเล่น แล้วทีมตกชั้น ท้ายที่สุดแฟนบอลจะหาว่าเราห่วย ทีมยุบก็เพราะพวกคุณทำทีมตกชั้น ทุกคนจะด่าว่าเราหมด แต่ถ้าเราสู้จนวินาทีสุดท้าย แล้วเรากลับมาได้ เราสามารถจะอยู่ในไทยลีกได้ ผมเชื่อว่าคำวิจารณ์จะไปที่บอร์ดบริหารทีมพีทีทีฯ มากกว่า ผมเลยถามเด็กว่าอยากเลือกอะไร คุณอยากเป็นจำเลยสังคม หรืออยากเป็นฮีโร่ในการเซฟพีทีทีฯ คุณเลือกได้ วันนั้นผมเคลียร์ใจกับเด็ก ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าทีมจะยุบหรือไม่ยุบ เด็กเลือกช็อยส์ที่สอง ‘พี่-เราจะสู้’ ถ้ามันจะยุบ ก็ให้มันเป็นเรื่องของทีมไป แต่ทุกคนคือฮีโร่ในทีมชุดสุดท้ายที่ทำทีมอยู่ในไทยลีกได้…”
หากใครยังจำได้ ภายหลังมีข่าวยืนยันอย่างเป็นทางการว่า พีทีที ระยอง ประกาศพักทีม โค้ชโจได้สื่อสารกับแฟนบอลด้วยข้อความว่า “ไม่มีใครพรากประวัติศาสตร์ไปจากเรา” ในวันนี้โค้ชโจได้เปิดเผยถึงเรื่องนี้อีกครั้งกับ Play Now Thailand ว่า
“ประวัติศาสตร์มันชัดเจน เราได้แชมป์ไทยลีก 2 โดยทีมพีทีที ฯ ไม่เคยได้แชมป์มาก่อน นี่เป็นแชมป์เมเจอร์แรกของเรา คนที่ร่วมสร้างประวัติศาสตร์-โค้ชคนเดียวก็เขียนไม่ได้ นักบอลก็เขียนเองไม่ได้ ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นบอร์ดบริหารของพีทีทีฯ หรือฝ่ายเทคนิค ทีมงานสต๊าฟโค้ช เจ้าหน้าที่สำนักงาน ฝ่ายมีเดีย ฝ่ายดูแลนักฟุตบอล คนตัดหญ้า คนตีเส้นสนาม ผมให้ความสำคัญกับทุกคนในสโมสร ท้ายที่สุดขาดไม่ได้ก็คือชาวระยอง ที่เราร่วมสร้างประวัติศาสตร์นี้ด้วยกัน ประวัติศาสตร์นี้ไม่มีใครพรากจากเราได้ เมื่อเรามองย้อนกลับไป เราเป็นทีมที่ทำแชมป์ให้กับพีทีที ระยอง ถึงแม้วันนี้จะไม่มีทีมนั้นแล้วก็ตาม ผมว่ามันเป็นประวัติศาสตร์ที่ทุกคนต้องจดจำ”
ในโอกาสนี้โค้ชโจยังฝากความคิดถึงไปยังแฟนบอลชาวระยองที่รักและสนับสนุนเขาเสมอมา “ชาวระยองอดทนกับโค้ชโจ ในปีแรกที่ทีมไม่ได้ขึ้นชั้น ปีที่สองยังตามมาเชียร์อยู่ มีบางนัดบางเกมที่ทีมเล่นไม่ได้เรื่อง ก็ยังสนับสนุน ไม่มีมาไล่ ยังให้โอกาส มันเป็นพลังอย่างหนึ่งที่ผมซาบซึ้งมาตลอด ผมรักและคิดถึงจังหวัดระยองและคนระยองเสมอ รวมถึงคนที่ร่วมงานกับผมที่ทีมพีทีทีฯ ทุกคน จะอยู่ในความทรงจำของผมจนวันตาย แฟนบอลระยองจะอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป”
คงไม่ผิดจากคำกล่าวของโค้ชโจ ถึงแม้วันนี้ทีมพีทีที ระยอง ไม่คงอยู่อีกแล้ว แต่จะไม่มีใครพรากเรื่องราวดีๆ และความทรงจำไปจากแฟนบอลชาวระยองได้ ประวัติศาสตร์ของทีมพลังเพลิงจะอยู่กับพวกเขาตลอดไป