คนดูที่อยู่ในหนังอีกเรื่องหนึ่ง

3 Min
1829 Views
29 Oct 2020

นานกว่าสองทศวรรษแล้วที่ ‘ถ้อยคำหนึ่ง’ ซึ่งผมไม่เคยอ่าน ไม่เคยได้ยินที่ไหน เว้นก็แต่ในความฝันครั้งนั้น ยังคงอยู่ติดอยู่ในความทรงจำของผมเรื่อยมา และถ้อยคำที่ว่าก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดทั้งหลายในข้อเขียนชุดนี้ที่ผมขอเรียกว่า ‘บันทึกภาพยนตร์’ หรือ Cinélogue 

Movie theater. Southside, Chicago, Illinois | Library of Congress

เหมือนดังเช่นความฝันทั้งหลายของคนเราที่มักเริ่มต้นขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ ฉะนั้นคนตาย หรือกระทั่งบุคคลที่ชั่วชีวิตนี้เราไม่น่าจะมีวันได้พานพบเจอะเจอก็ยังอาจสามารถมาปรากฏในฝันของเราได้ สำหรับคนจำนวนมากความฝันจึงเป็นพื้นที่แห่งอิสระและการปลดปล่อย ซึ่งในทางกลับกันมันคือเครื่องแสดงออกถึงความเก็บกดทั้งหลาย ความฝันและภาพยนตร์จึงมีความละม้ายคล้ายคลึงกันตรงที่มันช่วยปลดปล่อยเราจากสภาวะที่เป็น ในบางความฝันเราเป็นเพียงผู้เล่นที่สามารถแสดงบทบาทเหนือจริง ในบางความฝันเราเป็นผู้กำกับการแสดงของตนเอง

ในความฝันเมื่อสองทศวรรษก่อนนั้น ผมเพิ่งจะดูหนังเรื่องหนึ่งจบไป ผมจดจำชื่อหรือรายละเอียดอื่นใดแทบไม่ได้ นอกจากเหตุการณ์หลังจากนั้น

พลันเมื่อไฟในโรงถูกเปิด ผู้ชมต่างทยอยกันลุกเดินออกไป ผมก็หันไปแลเห็นฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์ (Jean-Paul Sartre) นักปรัชญาฝรั่งเศสผู้ยิ่งใหญ่ (กระทั่งเคยปฏิเสธรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม) นั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์เดียวกันกับผม

ฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์ | dialecticspiritualism.com

เขาหวีผมเรียบแปล้ สวมแว่นทรงกลม ใส่สูทผูกไท และยังคงแลดูหนุ่มแน่นไม่ผิดไปจากภาพถ่ายที่เรามักคุ้นเคยกัน จะแปลกก็ตรงที่นอกจากตัวผมแล้วก็ไม่มีผู้ชมคนใดในโรงจะมีอารามตื่นเต้นดีใจกับการได้แลเห็นฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์ตัวเป็นๆ ในโรงหนัง

ผมพยายามเดินเข้าไปทักทายเขาด้วยภาษาฝรั่งเศสอันกระท่อนกระแท่น (โดยไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเขากำลังมองหน้าผมอยู่หรือเปล่า) ดูเหมือนเราจะได้พูดกันอยู่สัก 2-3 ประโยค และในจังหวะที่เขากำลังจะลุกเดินไปนั้น ซาร์ตร์ก็ได้หันมากล่าวทิ้งท้ายว่า

“คุณรู้ไหม เราทั้งหลายในที่นี้ต่างก็เป็นเพียงแค่คนดูที่อยู่ในหนังอีกเรื่องหนึ่งเท่านั้น”

แม้จะเป็นเพียงข้อความธรรมดาๆ แต่นัยหนึ่งก็ฟังดูเป็นปริศนาธรรมราวกับถ้อยคำจากปากตัวละครของเชคสเปียร์อย่างแมคเบธ หรือแฮมเล็ท ผิดเพียงแต่ว่า  ณ เวลานั้นคำพูดชวนครุ่นคิดนี้อาจไม่น่าสนใจมากเท่ากับการได้ฝันเห็นบุคคลสำคัญ ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายขวบปีนั้น ผมน่าจะเคยได้บอกเล่าความฝันนี้ให้คนอื่นๆ ฟังนับครั้งไม่ถ้วน แต่ทว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมจะพยายามทำความเข้าใจคำพูดของซาร์ตร์ (ที่แท้จริงอาจจะมาจากความฟุ้งฝันของตัวผมเอง) จวบจนบัดนี้  ซึ่งผมมีความเชื่อว่า มันมีแง่มุมทางปรัชญาที่เชื้อชวนให้ขบคิดใคร่ครวญ

ประการแรกสุด คำกล่าวที่ว่า ‘เราทั้งหลายในที่นี้ต่างก็เป็นเพียงแค่คนดูที่อยู่ในหนังอีกเรื่องหนึ่งเท่านั้น’ ย่อมทำให้เราพานนึกไปถึงเครื่องมือความคิดเก่าแก่จากยุคก่อนคริสตกาลอย่างอุปมานิทัศน์เรื่องถ้ำ (Allegory of Cave) ซึ่งปรากฏขึ้นในงาน The Republic ของเพลโต (Plato

อุปมานิทัศน์เรื่องถ้ำ (Allegory of Cave) | Pinterest

เป็นบทตอนหนึ่งซึ่งเล่าเรื่องของมนุษย์ที่ถูกให้นั่งแบกขื่อและล่ามตรวนไว้เรียงรายเป็นทิวแถวกันอยู่ในถ้ำ (โดยก็ไม่รู้ว่าทำไม เพราะยุคสมัยนั้นคงไม่ได้ต้องการใช้คนเหล่านี้ผลิตกระแสไฟเหมือนในภาพยนตร์ชุด The Matrix Trilogy เป็นแน่ ) เบื้องหลังพวกเขาเป็นกองไฟ ซึ่งห่างออกไปไม่ไกลเป็นแนวกำแพงที่มีคนเทินรูปปั้นสัตว์ ภาชนะ และข้าวของต่างๆ เดินผ่านตลอดเวลา 

แสงสว่างจากกองไฟก่อให้เกิดเงาบนผนังถ้ำ ซึ่งทำให้บรรดาผู้ที่ถูกพันธนาการทั้งหลายมองเห็นไปว่า ภาพเงาเบื้องหน้านั้นเป็นตัวแทนของความจริง จวบจนนักโทษคนหนึ่งได้รับการปลดปล่อยจากพันธการได้ดุ่มเดินออกไปนอกถ้ำ แสงสว่างจากโลกภายนอกทำให้เขาแทบจะมองไม่เห็นอะไร จนเมื่อเริ่มจะปรับสายตาได้ จึงได้แลเห็นโลกความจริง (ที่ไม่ใช่แค่เงา) เป็นครั้งแรก 

ภาพวาดอุปมานิทัศน์เรื่องถ้ำ (Allegory of Cave) วาดในปี 1604 โดย Jan Saenredam ศิลปินชาวดัทช์ | Pinterest

ถึงกระนั้นดวงอาทิตย์ก็ยังคงเป็นสิ่งที่สว่างเกินกว่าที่จะมองด้วยตาเปล่า เขาจึงต้องมองมันผ่านภาพสะท้อนบนผิวน้ำ และเมื่อกลับเข้าไปในถ้ำ เขาก็ได้บอกเล่าถึงสิ่งต่างๆ ที่แลเห็นเบื้องนอก แต่กลายเป็นว่าไม่มีผู้ถูกล่ามตรวนคนใดเชื่อเขาแม้สักคน 

เรื่องราวที่เพลโตยกขึ้นมาเล่านั้น เพื่อเปรียบเปรยถึง ‘สัจจะ’ ที่อยู่เลยพ้นจากโลก (แห่งเงา) ที่เรา (ผู้ถูกพันธการไว้) เห็นว่าเป็นความจริง ซึ่งสำหรับเพลโตแล้วนั้น มันมีโลกอุดมคติ หรือโลกแห่งแบบ (World of Form) อยู่ถัดจากโลกความเป็นจริงที่เราอยู่ 

ด้วยความล้ำนำสมัยของอุปมานิทัศน์นี้ทำให้ ‘ถ้ำของเพลโต’ มักถูกอ้างอิงถึงแทบทุกครั้งยามที่เรากล่าวถึง ‘จุดกำเนิดของภาพยนตร์’ ในฐานะของภาพตัวแทนความจริง

todayifoundout.com

ประการถัดมา (ซึ่งน่าจะเป็นประการสุดท้าย) การเป็น ‘คนดูที่อยู่ในหนังอีกเรื่องหนึ่ง’ จึงอาจตีความได้ว่าเราแต่ละคนต่างถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมด้วย ‘ภาพลวงตา’ หรือความเชื่อบางอย่างที่เราแลเห็นเป็นความจริงสูงสุด ซึ่งถ้าเราไม่ได้สามารถเดินออกไป หรือมีคนที่เคยเดินออกไปบอกกล่าวแก่เราว่า ข้างนอกนั้นเป็นอย่างไร เราทั้งหลายก็อาจจะไม่ต่างจากมนุษย์ในถ้ำของเพลโต หรือเป็นคนดูอยู่ในโรงภาพยนตร์ดึกดำบรรพ์อยู่เรื่อยไป และนี่ก็อาจจะเป็นความหมายแฝงในคำกล่าวที่ซาร์ตร์ (ในแบบฉบับของผม) พยายามจะบอกกล่าวก็เป็นได้