กองทัพสหรัฐ นับว่าเป็นอีกหนึ่งในกองทัพที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก แต่สำหรับอิหร่านล่ะ พวกเขามีกำลังพล หรือกลยุทธ์อะไรในการ ‘แก้แค้น’ อย่างที่ผู้นำสูงสุดของพวกเขาได้เคยประกาศไว้กันแน่!
1. กองทัพอิหร่านใหญ่ขนาดไหน
จากข้อมูลของทางฝั่งสถาบันระหว่างประเทศว่าด้วยการศึกษายุทธศาสตร์ประจำสหราชอาณาจักร กองทัพอิหร่านน่าจะมีบุคคลากรที่ประจำการอยู่ประมาณ 523,000 คน เป็นบุคคลากรในกองทัพปกติสูงถึง 350,000 นาย และทางฝั่งกลุ่ม กองพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม หรือ Islamic Revolutionary Guards Corps (IRGC) คาดการณ์ว่าน่าจะมีกำลังพลราว 150,000 นาย ซึ่งหนึ่งในเหล่าทัพสำคัญของทางอิหร่านที่ถูกก่อตั้งขึ้นมานานกว่า 40 ปี โดยมีเป้าหมายสำคัญในการพิทักษ์ปกครองในระบอบสาธารณรัฐอิสลามและป้องกันการแทรกแซงโดยต่างชาติ และเป็นกองกำลังสำคัญที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจอีกด้วย
โดยมีเจ้าหน้าที่ในฝั่งกองทัพเรือของ IRGC อีกราว 20,000 นาย ซึ่งเป็นกลุ่มสำคัญที่มีบทบาทในการดูแลจัดการช่องแคบฮอร์มุน ช่องแคบสำคัญที่มีการเผชิญหน้าอยู่บ่อยครั้ง ไม่ใช่แค่นั้น IRGC ถูกขนานนามว่าเป็นกองกำลังที่กุมอำนาจทางทหารอย่างเด็ดขาด และน่าจะเหนือกว่ากองทัพหลักของอิหร่านเสียด้วย
2. นักรบบาซิจ
นอกเหนือจากนั้นทาง IRGC ยังมีส่วนสำคัญในการดูแลจัดการกลุ่มนักรบบาซิจ กองกำลังกึ่งพลเรือนของรัฐบาลอิหร่าน ที่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองในประเทศมาโดยตลอด ซึ่งปกติแล้วสามารถระดมคนได้มากหลายแสนคนเลยทีเดียว
3. หน่วยรบพิเศษคุดส์
หลักจากการสังหาร ‘คาเซ็ม สุเลมานี’ ผู้ทรงอิทธิพลในกองทัพอิหร่าน อีกหนึ่งชื่อที่หลายฝ่ายพูดถึงก็คือ หน่วยรบพิเศษคุดส์ หน่วยรบที่สังกัดกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน และเป็นหน่วยรบที่ชักธงสีแดงขึ้นสู่ยอดเสาในช่วงเวลาที่ผ่านมา
หน่วยรบพิเศษคุดส์ เป็นกองกำลังสำคัญที่มีการปฏิบัติงานในต่างแดน โดยคาดการณ์มีกองกำลังอยู่ราว 5,000 นาย ถูกส่งไปปฏิบัติงานทั้งในทั้ง อิรัก ซีเรีย เลบานอน และปาเลสไตน์ ถูกเชื่อว่าเป็นกองกำลังที่สนับสนุนกลุ่มก่อร้ายที่สหรัฐฯ หมายหัว ทั้งในเรื่องเงินทุน การฝึก อาวุธ
4. ขีปนาวุธและอาวุธยุทโธปกรณ์
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาอิหร่านนำเข้าอาวุธจากต่างประเทศเพียง 3.5% หากเปรียบเทียบกับซาอุดีอาระเบีย ส่วนมากมากจากยักษ์ใหญ่ในขั้วการเมืองสำคัญทั้งจีนและรัสเซีย
ในช่วงเช้าที่ผ่านมาอิหร่านเพิ่งพิสูจน์อีกครั้งว่าพวกเขามีขีปนาวุธและพร้อมที่จะใช้มันได้จริง หลังเปิดฉากถล่มยิงขีปนาวุธใส่กองทัพสหรัฐฯ ในอิรัก อย่างที่เคยขู่ไว้ โดยขีปนาวุธนับว่าเป็นไม้เด็ดของทางกองทัพอิหร่าน เพราะหลายฝ่ายเชื่อว่าประสิทธิด้านการรบทางอากาศยังไม่สามารถเทียบเคียงกับชาติคู่อริใกล้เคียงได้
ถึงแม้จะถูกกดดันจากนานาชาติ แต่ดูเหมือนอิหร่านเองก็พัฒนาขีปนาวุธมาโดยตลอด นอกเหนือจากนั้น อากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน นับว่าเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะเสริมศักยภาพของทางอิหร่าน มีรายงานการใช้โดรนในการโจมตีหลายครั้ง ทั้งกลุ่มไอเอส หรือโดรนสังเกตการณ์ของสหรัฐฯ เอง
5. สงครามไซเบอร์
ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า มีความเป็นไปได้อย่างมากที่อิหร่านจะใช้กลยุทธ์ทางไซเบอร์ในการโจมตีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มุ่งเน้นในการทำลายเศรษฐกิจ ระบบสาธารณะสุข และการควบคุมการจราจรด้านอากาศ เพราะฉะนั้นเรื่องศักยภาพทางไซเบอร์นั้น อิหร่านเติบโตได้อย่างไม่มีขีดจำกัดแน่นอน
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เคยเกิดขึ้นแล้ว อย่างในปี 2561 สหรัฐฯ เองก็เคยออกมาแถงการณ์ว่ามีชาวอิหร่าน 2 คนลอบเจาะฐานข้อมูลและปล่อยมัลแวร์เข้าสู่สำนักงานรายชุมชนในสหรัฐ และมีการโจมตีหน่วยงานเอกชนอีกหลาบครั้ง
เพราะฉะนั้นนอกจากกองกำลังและยุทโธปกรณ์แล้ว สงครามไซเบอร์เป็นอีกสิ่งสำคัญที่สหรัฐฯ ต้องพึงระวังไว้อย่างเข้มข้น
6. ระเบิดนิวเคลียร์
ถึงแม้จะมีการโจมตีกันเกิดขึ้น แต่สิ่งที่หลายคนหวาดกลัว และน่าจะเป็นฝันร้ายสำหรับมนุษยชาติก็คงไม่พ้นอาวุธนิวเคลียร์ โดยรัฐบาลอิหร่านเองได้มีประกาศฉีกสัญญาว่าด้วยการจำกัดการพัฒนานิวเคลียร์ที่ทำขึ้นเมื่อปี 2015 หรือพูดง่าย ๆ ว่าอิหร่านพร้อมที่จะกลับมาพัฒนาและเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์อีกครั้งอย่างไม่มีข้อจำกัด
เคยมีการประเมินไว้ว่า อิหร่านมีวัตถุดิบและอุปกรณ์มากถึง 20,000 เครื่อง สามารถผลิตนิวเคลียร์ได้มากถึง 10 ลูก ถ้าพวกเขาตั้งใจจะสร้างระเบิดนิวเคลียร์ขึ้นมาจริง ก็ใช้เวลาเพียง 2-3 เดือนในการเตรียมการเท่านั้น
ถึงแม้หลายฝ่ายจะยังไม่มีท่าทีอะไรชัดเจนมากนักสำหรับปัญหาในครั้งนี้ แต่ถ้าประเด็นของนิวเคลียร์ ประเทศหลายประเทศยังคงเน้นย้ำให้ข้อตกลงฉบับนี้ยังคงมีผลอยู่ต่อไปและอิหร่านก็ควรยุติการกระทำใด ๆ ที่ละเมิดข้อตกลงเหล่านั้น
อ้างอิง: