กรุงเทพฯ เมืองแห่งความเหงา
การใช้ชีวิตในสังคมที่แสนวุ่นวายกลับผลักให้เราหงายหลังสู่ห้วงเวลาแห่งความเงียบงันโดยไม่รู้ตัว พอเริ่มทำความรู้จักกับความรู้สึกลึกๆของตัวเองกลับสัมผัสไปถึงกลุ่มก้อนสีเทาภายในใจ ไม่ได้สว่างพอที่จะเผยความสดใส ไม่ได้มืดบอดจนมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ไอ้กลุ่มก้อนสีเทานี่แหละที่หล่อเลี้ยงความหม่นหมองให้ขยายวงกว้างอยู่ตลอดเวลา
ก้าวขาขึ้นรถไฟฟ้าที่ลอยอยู่เหนือทุกความเร่งรีบบนท้องถนน จับจองพื้นที่สูงจนแทบเอื้อมไม่ถึง สูงทั้งตำแหน่งที่ตั้ง สูงทั้งค่าตัวของขบวนลำนี้ กล่องสี่เหลี่ยมขนาดยาวที่บรรจุเหล่าคนเหงาเข้าไปจนล้น ต่างก้มหน้าก้มตาจับจ้องจอสี่เหลี่ยมขนาดสั้นที่แต่งแต้มด้วยตัวอักษรของความสับสน เหล่าผู้คนที่อาจพลาดการสบสายตากับใครบางคนโดยไม่รู้ตัว
นั่งลงบนเก้าอี้กลมตัวเล็กๆของห้องกระจกที่อบอวลไปด้วยกลิ่นกาแฟยามสาย คลุกเคล้าไปกับความเซื่อนซึมของผู้คนที่เริ่มวันพร้อมร่างกายไร้เรี่ยวแรง เครื่องดื่มสีดำเข้มกับรสชาติชีวิตที่แสนขม
เหม่อลอยไปกับวันที่แสนไร้ค่า ฝนดันตกมาในวันที่ไม่มีร่มสักคันให้หลบภัย ซัดสาดทั้งน้ำฝนที่เย็นเยือก ซัดสาดทั้งดวงใจให้เย็นชา ติดแหง็กอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยไฟสีแดงฉาน สะท้อนให้ต้องหรี่ตาต้อนรับแสงสีเหล่านั้นที่มาเยี่ยมเยียน
กรุงเทพฯ เมืองที่ผลักให้เรายืนอยู่คนเดียว
พลังของมนุษย์ตัวเล็กๆที่พร้อมจะก้าวขึ้นมาทำอะไรเองโดยไม่รอใคร เมืองที่มีพื้นที่ให้เราตัดสินใจทำอะไรคนเดียวได้อย่างงายดาย สังคมที่เอื้อให้เราเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา รีบทั้งการเดินทางไปให้ถึงที่หมาย รีบทั้งการวิ่งตามคนอื่นให้ทัน หากเปรียบเสมือนกีฬา กรุงเทพฯ เป็นสนามที่คัดเฉพาะนักกีฬาเดี่ยว นักวิ่งมาราธอน นักมวยสมัครเล่น นักว่ายน้ำฟรีสไตล์ นักกีฬาที่จำเป็นต้องลงแข่งขันคนเดียวเพียงลำพัง
การเผชิญกับความเหงาอาจไม่ใช่เรื่องแย่ การยืนอยู่ในสนามอย่างลำพังก็เช่นกัน ไม่ใช่แค่เราที่ครองพื้นที่ความเหงาอยู่คนเดียว เราหลายคนต่างช่วยกันขยายพื้นที่ความเหงาอยู่คนเดียวไปด้วยกันทั้งนั้น
กรุงเทพฯ อาจมีผังเมืองที่ไม่ดี
กรุงเทพฯ อาจระบบขนส่งห่วยบรม
กรุงเทพฯ อาจหล่อหลอมให้จิตใจห่อเหี่ยว
กรุงเทพฯ อาจมืดสนิทจนน่ากลัว
กรุงเทพฯ อาจมีทะเลอยู่บนถนน
แต่กรุงเทพฯ ไม่อาจปราศจากความเหงา
ทางรอดของคนเหงา คือการเหงาไปด้วยกัน
แด่กรุงเทพฯ ที่เทพไหนสร้างไม่รู้ แต่มีคนเหงาอยู่เต็มไปหมด