‘โควิดไม่ได้ฆ่าคุณ ความเหลื่อมล้ำต่างหากที่ฆ่าคุณ’ กรณีศึกษาจากสวีเดน ในวันที่ยอดผู้เสียชีวิตเหลือ 0 โดยไม่เคยล็อคดาวน์และบังคับใส่หน้ากาก
ในโลกนี้ ประเทศที่ “นโยบายจัดการกับโควิด” ทำให้คนเถียงกันมากที่สุด ไม่ใช่บ้านเราแน่ๆ และก็ไม่ใช่จีน ไม่ใช่บราซิล ไม่ใช่กระทั่งพม่า แต่เป็นสวีเดน
เพราะทุกวันนี้สวีเดนยังยืนหยัดไม่ล็อกดาวน์ และก็ไม่เคยมีการบังคับให้คนใส่หน้ากากใดๆ (และคนสวีเดนส่วนใหญ่ก็ไม่อยากจะใส่ด้วย) แต่หลังจากการระบาดผ่านมา 1 ปีครึ่ง ทุกวันนี้ ตัวเลขผู้ตายจากโควิดในสวีเดนเป็น 0 แล้ว!?
นี่น่าจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่มาถึงจุดนี้ได้โดยเศรษฐกิจไม่ได้รับความเสียหายใดๆ จากการล็อกดาวน์เลย
“ความสำเร็จ” ของสวีเดนทำให้โลกเกิดความกระอักกระอ่วนและสร้างข้อถกเถียงมาก เพราะนานาประเทศนั้น “ประณาม” สวีเดนมาตลอด ว่าใช้นโยบายที่แหวกแนวแบบไม่เข้าเรื่อง และ “ทำให้คนตาย”
แน่นอน ประเด็นนี้ก็คงจะเถียงกันได้ เพราะถ้าเทียบสัดส่วนประชากร คนสวีเดนก็ตายไปไม่น้อยกว่าจะถึงตรงนี้
อย่างไรก็ดี ถ้าเป็นคนสวีเดนก็คงจะเถียงว่าการพูดแบบนี้เป็นการ “ด่วนสรุป” เกินไปเพราะ “ไม่มีหลักฐานชัดเจน” ในเชิงวิชาการว่า
สิ่งที่สวีเดนทำนั้นผิด
สาเหตุการไม่ล็อกดาวน์–ไร้หน้ากาก
สวีเดน เป็นประเทศที่นโยบายสาธารณสุขเกิดจาก “ผู้เชี่ยวชาญ” จริงๆ ไม่ใช่จาก “นักการเมือง”
ถ้าจะอธิบายง่ายๆ คนที่มีนโยบายคุมอำนาจทั้งหมดในการสู้โควิดคือคนมีตำแหน่งคล้ายๆ “อธิบดีกระทรวงสาธารณสุข” ชื่อว่า Anders Tegnell เขาเป็นหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องโรคระบาดจริงๆ ซึ่งต่างจากบางประเทศที่เอานักธุรกิจที่เชี่ยวชาญด้านการรับเหมาก่อสร้างมาคุมกระทรวงสาธารณสุข
ในความเป็นนักวิชาการ Tegnell ยืนยันมาตลอดว่าการ “ล็อกดาวน์” ไม่มีผลวิจัยยืนยันว่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น และการ “ใส่หน้ากาก” นั้นก็เรียกได้ว่าผลวิจัยยัง “อ่อน” ว่าจะสามารถป้องกันการระบาดของโควิดได้
และนี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่ให้สวีเดนล็อกดาวน์ และไม่ “แนะนำ” ให้ประชาชนใส่หน้ากากด้วยซ้ำ ซึ่งทำให้ทุกวันนี้ ถ้าคุณอยู่สวีเดนแล้วใส่หน้ากาก คนจะมองคุณแปลกๆ และอาจถึงขั้นมองว่าคุณเป็นพวกงมงาย “ไม่เชื่อในวิทยาศาสตร์” ด้วยซ้ำ
ได้ยินแบบนี้ แน่นอน “คนทั้งโลก” คงรู้สึกว่า “มึงบ้าหรือเปล่า? ”
แต่เขาก็ทำแบบนี้จริงๆ มาตลอด ปัญหาคือทุกวันนี้ตัวเลขผู้ตายที่เหลือ 0 ก็ของจริงเช่นกัน และนี่ทำให้หลายๆ ฝ่ายกระอักกระอ่วนแบบบอกไม่ถูก
ในมุมของสวีเดน Anders Tegnell ค่อนข้างจะภูมิใจในวิธีการจัดการมาก และเขาก็เชื่อว่าวิธีการจัดการโควิดทั้งโลกที่ออกมาต้องล็อกดาวน์ ต้องใส่หน้ากาก จริงๆ มันคือเรื่อง “การเมือง” ทั้งนั้น
เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีหลักฐานทางการวิจัยที่หนาแน่นมาหนุน แต่มันคือ “นโยบายเฉพาะกิจ” แบบที่รัฐ “ต้องทำอะไรสักอย่าง” ในช่วงแรกของการระบาดที่ยังไม่มีวัคซีนและทางออกใดๆ และการทำแบบนี้มันเป็น “จริตแบบนักการเมือง” ที่ประชาชนโวยวายหาทางแก้ สุดท้ายก็ต้องสร้าง “ทางแก้ปลอมๆ ” ให้ประชาชนสบายใจ
ซึ่งมันก็เหมือนถ้าประชาชนป่วย คนพวกนี้ก็จะไปหาน้ำต้มสมุนไพรอะไรก็ไม่รู้มาให้กิน แล้วบอกว่า “กินแล้วจะหาย” ซึ่งประชาชนก็ “ทำแล้วสบายใจ” จริงๆ
แต่ประเด็นคือ การทำแบบนี้มัน “ผิดหลักวิทยาศาสตร์” เนื่องจากไม่มีการวิจัยแบบควบคุมตัวแปรอะไรมารองรับว่าคนนั้น “หายเพราะกินน้ำต้มสมุนไพรจริง” นี่ทำให้ประชาชนยังไงก็อาจจะหายอยู่แล้วโดยไม่ต้องทำอะไรก็ได้ และกินน้ำต้มสมุนไพรเข้าไปจริงๆ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย มันแค่ทำให้คนที่เสนอให้กิน “ได้เครดิต”
Anders Tegnell มองการล็อกดาวน์และการใส่หน้ากากแบบนี้แหละครับ เขาเชื่อว่าทำหรือไม่ทำ ผลก็ไม่ต่าง เพราะมันไม่มีงานวิจัยที่หนักแน่นพอจะมาบอกว่าทำแล้วจะได้ผล และการใช้นโยบายแบบนี้ทั้งโลก ก็อาจเป็นแค่ “อุปทานหมู่” ในยามสิ้นหวังเท่านั้น
และในทางกลับกัน สวีเดนนี่แหละคือ “ตัวพิสูจน์” แบบจับต้องได้เลยว่า คุณสามารถมาถึงจุดที่ไม่มีคนตายจากโควิดอีกแล้วได้ โดยประเทศไม่ต้องล็อกดาวน์และใส่บังคับใส่หน้ากาก
ปริศนาจากนอร์ดิก
แน่นอนว่าตอนนี้ คนที่ไม่เห็นด้วยและด่านโยบายของสวีเดนมาตลอด คงจะอึดอัดมาก เพราะข้อมูลที่เห็นตำตานั้นขัดกับสามัญสำนึกเกินไปที่จะด่า
เพราะว่ากันตรงๆ สำหรับประเทศที่มีประชากร 10 ล้านคน การเจอผู้ป่วยวันละประมาณ 600 คนในปัจจุบัน และจำนวนผู้ตายเป็น 0 นั้นไม่ใช่ตัวเลขที่น่าเกลียดอะไรเลย
คำถามคือแล้วสวีเดนมีอะไรพิเศษ ประเทศเขามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?
ถ้าจะถามคำถามนี้คงยาว เพราะประเทศนี้แทบจะพิเศษในทุกด้านและเป็น “กรณีศึกษา” ในสารพัดประเด็น แต่ถ้าจะถามถึงประเด็นด้านสาธารณสุขที่หลายคนอาจเดาว่าสวีเดนน่าจะจัดการได้ดีกว่าชาวบ้าน คงต้องพบกับความผิดหวัง เพราะสวีเดนไม่ใช่ประเทศที่ฉีดวัคซีนเยอะอะไรเลย มาถึงตอนนี้ประชากรสวีเดนฉีดวัคซีนครบแค่ 40% ซึ่งถือว่าน้อยในมาตรฐานยุโรป
ตรงนี้หลายคนก็อาจหันไปมองว่า หรือเขามีหมอและระบบสาธารณสุขดีกว่าประเทศอื่นๆ เราก็คงได้รับความผิดหวังอีก เพราะตัวชี้วัดใหญ่อย่างจำนวนเตียงในโรงพยาบาลต่อประชากร สวีเดนมีน้อยมากในมาตรฐานยุโรป คือมี 2 เตียงต่อประชากร 100,000 คน ตัวเลขนี้ไม่ต้องไปเทียบเลยกับเยอรมนีที่มี 8 เตียงต่อประชากร 100,000 คน ฝรั่งเศสที่มี 8 เตียงต่อประชากร 100,000 คน และจริงๆ ตัวเลขนี้น้อยกว่าจีนด้วยซ้ำ เพราะจีนมี 4 เตียงต่อประชากร 100,000 คน หรือระบบสาธารณสุขจีนน่าจะมีความสามารถในการรับผู้ป่วยหนักมากกว่าสวีเดนเป็น 2 เท่าตัว
พูดง่ายๆ ถ้าดูตัวชี้วัดด้านสาธารณสุข สวีเดนไม่ได้ดีเด่นอะไรเลย แต่ถ้าดูในภูมิภาคนอร์ดิก (สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ และไอซ์แลนด์) เราอาจเห็นภาพใหญ่ขึ้นที่น่าสนใจขึ้น
เพราะ ณ ปัจจุบัน กลางปี 2021 ทั้งภูมิภาคนี้ ไม่มีใครตายเพราะโควิดอีกแล้ว และถามว่าภูมิภาคนี้ “ระบบสาธารณสุข” ดีเหรอ?
คำตอบเร็วๆ คือพอๆ กับสวีเดนหมด เรียกว่า “ก็โอเค” ในมาตรฐานยุโรป แต่ไปดูตัวเลขจริงๆ ไม่ได้เยอะกว่าชาวบ้าน หรือพูดง่ายๆ ก็คือจีนน่าจะมีความสามารถในการรับมือคนไข้สูงกว่าประเทศนอร์ดิกทุกประเทศ
และถ้าไปดูตัวเลขการฉีดวัคซีน ประเทศพวกนี้ก็ฉีดพอๆ กับชาติอื่นๆ ในยุโรป วัคซีนที่ใช้ก็ตัวเดียวกัน ดังนั้นคำอธิบายมันน่าจะไม่อยู่ตรงนี้แน่ๆ
คำตอบอยู่ที่ความเหลื่อมล้ำ
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับสวีเดน?
คำตอบน่าจะกลับไปที่ “ไฮไลต์” ของประเทศแถบนี้ ที่แม้ว่าจะมีความต่างกันในทางวัฒนธรรมพอควร แต่สิ่งที่มีร่วมกันก็คือ ประเทศกลุ่มนี้ติดอันดับ “ประเทศที่คุณภาพชีวิตสูงที่สุดในโลก” มาตลอด เรียกกันว่าวนๆ กันได้ที่ 1 แต่ถึงตกไป ปกติก็ไม่ลงจาก Top 5
ทำไมประเทศแถบนี้คนถึงตายเพราะโควิดน้อย?
หลักๆ แล้ว เราอาจเห็นคำตอบจากรอบๆ ตัวเราก็ได้ โดยต้องเริ่มถามก่อนว่า “ทำไมคนตายเพราะโควิด” ซึ่งโดยทั่วๆ ไปคำตอบมาตรฐานก็คือ “เพราะมีโรคประจำตัว”
สิ่งที่เราต้องถามต่อก็คือ แล้วทำไมคนมีโรคประจำตัว?
พันธุกรรมอาจเป็นคำตอบบางส่วน แต่ถ้าเราศึกษาดีๆ ก็จะรู้ว่าพฤติกรรมมีส่วนสำคัญไม่น้อย และในความเป็นจริง ในหมู่ “คนมีเงิน” ที่ดูแลตัวเองดีๆ การมีโรคพวกนี้ไม่ใช่ปัญหา และไม่ได้ชี้วัดว่าจะตายหรือไม่จากโควิด
ใช่ครับ เรากำลังบอกว่า “ความจน” นี่แหละคือปัจจัยเสี่ยงในการตายจากโควิดที่สุด? เพราะในบ้านเราก็คงจะเห็นว่า คนที่ล้มตายส่วนใหญ่เลยคือ “คนจน” (ซึ่งก็ไม่ได้บอกว่าคน “ไม่จน” จะไม่ตาย ประเด็นคือ “ถ้าจน โอกาสตายจะสูงกว่ามาก”)
และถ้าเราเริ่มแบบนี้ “คำตอบ” จะชัดเลยว่าทำไมสวีเดนและชาตินอร์ดิกถึงมีคนตายจากโควิดน้อย
เพราะแถวนี้ “ไม่มีคนจน” ครับ
ประเทศนอร์ดิก จุดเด่นที่สุดคือ มีความเหลื่อมล้ำต่ำมากๆ ซึ่งต่างจากประเทศรวยๆ อย่างอเมริกาหรือกระทั่งฝรั่งเศสและเยอรมนี ที่ยังไงความเหลื่อมล้ำก็สูงกว่ามาก
แน่นอน เราคงไม่ต้องพูดถึงเรื่องชัดๆ ที่ว่าถ้าเป็นคนอเมริกัน คุณไม่มีสิทธิ์ไปหาหมอด้วยซ้ำถ้าคุณไม่ซื้อประกันสุขภาพเอาไว้ แต่ในความเป็นจริง แม้แต่ในฝรั่งเศสหรือเยอรมนีที่ระบบสาธาณสุขฟรี หากคุณเป็นคนจน โดยทั่วๆ ไปคุณก็จะมีโอกาส “ดูแลตัวเอง” น้อยกว่าคนที่มีเงินอยู่แล้ว และโอกาสในการดูแลตัวเองที่น้อยกว่า มันก็จะนำมาซึ่ง “โรคประจำตัว” สารพัดในช่วงวัยกลางคน และสิ่งพวกนี้มันไปเพิ่มความเสี่ยงที่จะตายจากโควิดทั้งนั้น
แต่พวกประเทศนอร์ดิกต่างไปยังไง?
เอาง่ายๆ ทำงานประเทศแถบนี้รายได้คุณสูง (เพราะสหภาพแรงงานต่อสู้เรื่องค่าแรงมาก) คุณก็ไม่ต้องทำงานเยอะ แล้วจริงๆ ชั่วโมงทำงานประเทศแถบนี้ก็น้อย พวก “วันหยุด” ยังหยุดยาวกันเป็นเดือน คือการ “ลางาน” ไปเที่ยวเป็นเดือนๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสำหรับประชากรนอร์ดิก นี่คือพื้นฐานชีวิตของเขา
และนี่ยังไม่ต้องพูดถึงสวัสดิการด้านการช่วยเลี้ยงลูกอีกสารพัดอันเป็นตำนานของประเทศอย่างสวีเดน ที่ช่วยโอบอุ้มไม่ให้สาวๆ ที่มีลูกสูญเสียโอกาสในชีวิต (และทำให้สวีเดนเป็นประเทศที่ถือว่าผู้หญิงมีสิทธิ์สูงอันดับต้นๆ ของโลกมาช้านาน)
พูดเข้าประเด็นเลยก็คือ “ระบบสังคม” ของนอร์ดิก ทำให้คุณมีชีวิตแล้วสุขภาพดี ทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกาย และถ้า “ร่างกายคุณดี” โดยพื้นฐานทั้งสังคม คุณเจอโควิดเข้าไป มันก็ทำอะไรไม่ได้เท่าไรหรอกนอกจากคุณจะซวยจริงๆ
และนี่ทำให้คุณแทบจะอยู่คนละโลกเลยกับสังคมเหลื่อมล้ำสูงๆ ที่คนจนต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำทั้งๆ ที่มีโควิด และต้อง “เสี่ยงตาย” มากกว่าคนที่มั่งมีกว่าอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะจากพื้นฐานด้านสุขภาพ หรือการเข้าถึงระบบสาธารณสุข
ทั้งนี้ นี่เป็นเพียงสมมติฐานเท่านั้น คำอธิบายจริงๆ มันอาจเป็นแบบอื่นก็ได้ แต่ก็อย่างที่เราบอก ไม่ได้เป็นแค่สวีเดน แต่เป็นทั้งกลุ่มประเทศนอร์ดิกเลย ดังนั้นก็ไม่แปลกเลยที่หลังโควิด สิ่งที่เรียกว่า “ความมหัศจรรย์ของนอร์ดิก” จะมาหลอกหลอนทั้งชาวโลกและนักวิเคราะห์อีกครั้ง
และก็อย่างที่บอก คำตอบอาจไม่ใช่เรื่องวัคซีนหรือระบบสาธารณสุขอะไรเลย แต่มันเป็นระบบสังคมที่คนมีคุณภาพชีวิตสูง และทำให้สุขภาพดีตามมา และเราอาจต้องการแค่นั้นเองในการเผชิญหน้าโรคระบาดในอนาคตที่คาดเดาไม่ได้ว่าจะเป็นโรคอะไร
และถ้าจะพูดกันโหดๆ แล้ว การมองจากกลุ่มประเทศนอร์ดิกมายังที่อื่นๆ ในโลก เราก็จะเห็นเลยว่า คนไม่ได้ตายกันเยอะๆ เพราะโควิดหรอก แต่ “สาเหตุการตาย” จริงๆ น่ะ มันคือเรื่อง “ความเหลื่อมล้ำ”
โควิดไม่ได้ฆ่าคุณ ความเหลื่อมล้ำต่างหากที่ฆ่าคุณ
อ้างอิง:
- Insider. No-lockdown Sweden broke with most of the world and didn’t require face masks. Those who wear them say they’re treated with suspicion and abuse. https://bit.ly/2VwmU8U
- RT. Mask-free Sweden nears zero daily Covid deaths as chief epidemiologist warns against ‘far-reaching conclusions’ about Delta strain. https://bit.ly/37qZSCT
- New Scientist. Is Sweden’s coronavirus strategy a cautionary tale or a success story? https://bit.ly/3ywwY02
- The New Yorker. Sweden’s Pandemic Experiment. https://bit.ly/3Ar8eXL
- Statista. Coronavirus (COVID-19) deaths worldwide per one million population as of July 30, 2021, by country https://bit.ly/3lKNbLs
- Wikipedia. List of countries by hospital beds .https://bit.ly/3AlzUNz