6 Min

‘โควิดไม่ได้ฆ่าคุณ ความเหลื่อมล้ำต่างหากที่ฆ่าคุณ’ กรณีศึกษาจากสวีเดน ในวันที่ยอดผู้เสียชีวิตเหลือ 0 โดยไม่เคยล็อคดาวน์และบังคับใส่หน้ากาก

6 Min
190 Views
09 Aug 2021

ในโลกนี้ ประเทศที่นโยบายจัดการกับโควิดทำให้คนเถียงกันมากที่สุด ไม่ใช่บ้านเราแน่ๆ และก็ไม่ใช่จีน ไม่ใช่บราซิล ไม่ใช่กระทั่งพม่า แต่เป็นสวีเดน

เพราะทุกวันนี้สวีเดนยังยืนหยัดไม่ล็อกดาวน์ และก็ไม่เคยมีการบังคับให้คนใส่หน้ากากใดๆ (และคนสวีเดนส่วนใหญ่ก็ไม่อยากจะใส่ด้วย) แต่หลังจากการระบาดผ่านมา 1 ปีครึ่ง ทุกวันนี้ ตัวเลขผู้ตายจากโควิดในสวีเดนเป็น 0 แล้ว!?

นี่น่าจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่มาถึงจุดนี้ได้โดยเศรษฐกิจไม่ได้รับความเสียหายใดๆ จากการล็อกดาวน์เลย

ความสำเร็จของสวีเดนทำให้โลกเกิดความกระอักกระอ่วนและสร้างข้อถกเถียงมาก เพราะนานาประเทศนั้นประณามสวีเดนมาตลอด ว่าใช้นโยบายที่แหวกแนวแบบไม่เข้าเรื่อง และทำให้คนตาย

แน่นอน ประเด็นนี้ก็คงจะเถียงกันได้ เพราะถ้าเทียบสัดส่วนประชากร คนสวีเดนก็ตายไปไม่น้อยกว่าจะถึงตรงนี้

อย่างไรก็ดี ถ้าเป็นคนสวีเดนก็คงจะเถียงว่าการพูดแบบนี้เป็นการด่วนสรุปเกินไปเพราะไม่มีหลักฐานชัดเจนในเชิงวิชาการว่า

สิ่งที่สวีเดนทำนั้นผิด
สาเหตุการไม่ล็อกดาวน์ไร้หน้ากาก

สวีเดน เป็นประเทศที่นโยบายสาธารณสุขเกิดจากผู้เชี่ยวชาญจริงๆ ไม่ใช่จากนักการเมือง

ถ้าจะอธิบายง่ายๆ คนที่มีนโยบายคุมอำนาจทั้งหมดในการสู้โควิดคือคนมีตำแหน่งคล้ายๆอธิบดีกระทรวงสาธารณสุขชื่อว่า Anders Tegnell เขาเป็นหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องโรคระบาดจริงๆ ซึ่งต่างจากบางประเทศที่เอานักธุรกิจที่เชี่ยวชาญด้านการรับเหมาก่อสร้างมาคุมกระทรวงสาธารณสุข

ในความเป็นนักวิชาการ Tegnell ยืนยันมาตลอดว่าการล็อกดาวน์ไม่มีผลวิจัยยืนยันว่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น และการใส่หน้ากากนั้นก็เรียกได้ว่าผลวิจัยยังอ่อนว่าจะสามารถป้องกันการระบาดของโควิดได้

และนี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่ให้สวีเดนล็อกดาวน์ และไม่แนะนำให้ประชาชนใส่หน้ากากด้วยซ้ำ ซึ่งทำให้ทุกวันนี้ ถ้าคุณอยู่สวีเดนแล้วใส่หน้ากาก คนจะมองคุณแปลกๆ และอาจถึงขั้นมองว่าคุณเป็นพวกงมงายไม่เชื่อในวิทยาศาสตร์ด้วยซ้ำ

ได้ยินแบบนี้ แน่นอนคนทั้งโลกคงรู้สึกว่ามึงบ้าหรือเปล่า? ”

แต่เขาก็ทำแบบนี้จริงๆ มาตลอด ปัญหาคือทุกวันนี้ตัวเลขผู้ตายที่เหลือ 0 ก็ของจริงเช่นกัน และนี่ทำให้หลายๆ ฝ่ายกระอักกระอ่วนแบบบอกไม่ถูก

ในมุมของสวีเดน Anders Tegnell ค่อนข้างจะภูมิใจในวิธีการจัดการมาก และเขาก็เชื่อว่าวิธีการจัดการโควิดทั้งโลกที่ออกมาต้องล็อกดาวน์ ต้องใส่หน้ากาก จริงๆ มันคือเรื่องการเมืองทั้งนั้น

เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีหลักฐานทางการวิจัยที่หนาแน่นมาหนุน แต่มันคือนโยบายเฉพาะกิจแบบที่รัฐต้องทำอะไรสักอย่างในช่วงแรกของการระบาดที่ยังไม่มีวัคซีนและทางออกใดๆ และการทำแบบนี้มันเป็นจริตแบบนักการเมืองที่ประชาชนโวยวายหาทางแก้ สุดท้ายก็ต้องสร้างทางแก้ปลอมๆให้ประชาชนสบายใจ

ซึ่งมันก็เหมือนถ้าประชาชนป่วย คนพวกนี้ก็จะไปหาน้ำต้มสมุนไพรอะไรก็ไม่รู้มาให้กิน แล้วบอกว่ากินแล้วจะหายซึ่งประชาชนก็ทำแล้วสบายใจจริงๆ

แต่ประเด็นคือ การทำแบบนี้มันผิดหลักวิทยาศาสตร์เนื่องจากไม่มีการวิจัยแบบควบคุมตัวแปรอะไรมารองรับว่าคนนั้นหายเพราะกินน้ำต้มสมุนไพรจริงนี่ทำให้ประชาชนยังไงก็อาจจะหายอยู่แล้วโดยไม่ต้องทำอะไรก็ได้ และกินน้ำต้มสมุนไพรเข้าไปจริงๆ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย มันแค่ทำให้คนที่เสนอให้กินได้เครดิต

Anders Tegnell มองการล็อกดาวน์และการใส่หน้ากากแบบนี้แหละครับ เขาเชื่อว่าทำหรือไม่ทำ ผลก็ไม่ต่าง เพราะมันไม่มีงานวิจัยที่หนักแน่นพอจะมาบอกว่าทำแล้วจะได้ผล และการใช้นโยบายแบบนี้ทั้งโลก ก็อาจเป็นแค่อุปทานหมู่ในยามสิ้นหวังเท่านั้น

และในทางกลับกัน สวีเดนนี่แหละคือตัวพิสูจน์แบบจับต้องได้เลยว่า คุณสามารถมาถึงจุดที่ไม่มีคนตายจากโควิดอีกแล้วได้ โดยประเทศไม่ต้องล็อกดาวน์และใส่บังคับใส่หน้ากาก

ปริศนาจากนอร์ดิก

แน่นอนว่าตอนนี้ คนที่ไม่เห็นด้วยและด่านโยบายของสวีเดนมาตลอด คงจะอึดอัดมาก เพราะข้อมูลที่เห็นตำตานั้นขัดกับสามัญสำนึกเกินไปที่จะด่า

เพราะว่ากันตรงๆ สำหรับประเทศที่มีประชากร 10 ล้านคน การเจอผู้ป่วยวันละประมาณ 600 คนในปัจจุบัน และจำนวนผู้ตายเป็น 0 นั้นไม่ใช่ตัวเลขที่น่าเกลียดอะไรเลย

คำถามคือแล้วสวีเดนมีอะไรพิเศษ ประเทศเขามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?

ถ้าจะถามคำถามนี้คงยาว เพราะประเทศนี้แทบจะพิเศษในทุกด้านและเป็นกรณีศึกษาในสารพัดประเด็น แต่ถ้าจะถามถึงประเด็นด้านสาธารณสุขที่หลายคนอาจเดาว่าสวีเดนน่าจะจัดการได้ดีกว่าชาวบ้าน คงต้องพบกับความผิดหวัง เพราะสวีเดนไม่ใช่ประเทศที่ฉีดวัคซีนเยอะอะไรเลย มาถึงตอนนี้ประชากรสวีเดนฉีดวัคซีนครบแค่ 40% ซึ่งถือว่าน้อยในมาตรฐานยุโรป

ตรงนี้หลายคนก็อาจหันไปมองว่า หรือเขามีหมอและระบบสาธารณสุขดีกว่าประเทศอื่นๆ เราก็คงได้รับความผิดหวังอีก เพราะตัวชี้วัดใหญ่อย่างจำนวนเตียงในโรงพยาบาลต่อประชากร สวีเดนมีน้อยมากในมาตรฐานยุโรป คือมี 2 เตียงต่อประชากร 100,000 คน ตัวเลขนี้ไม่ต้องไปเทียบเลยกับเยอรมนีที่มี 8 เตียงต่อประชากร 100,000 คน ฝรั่งเศสที่มี 8 เตียงต่อประชากร 100,000 คน และจริงๆ ตัวเลขนี้น้อยกว่าจีนด้วยซ้ำ เพราะจีนมี 4 เตียงต่อประชากร 100,000 คน หรือระบบสาธารณสุขจีนน่าจะมีความสามารถในการรับผู้ป่วยหนักมากกว่าสวีเดนเป็น 2 เท่าตัว

พูดง่ายๆ ถ้าดูตัวชี้วัดด้านสาธารณสุข สวีเดนไม่ได้ดีเด่นอะไรเลย แต่ถ้าดูในภูมิภาคนอร์ดิก (สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ และไอซ์แลนด์) เราอาจเห็นภาพใหญ่ขึ้นที่น่าสนใจขึ้น

เพราะ ณ ปัจจุบัน กลางปี 2021 ทั้งภูมิภาคนี้ ไม่มีใครตายเพราะโควิดอีกแล้ว และถามว่าภูมิภาคนี้ระบบสาธารณสุขดีเหรอ?

คำตอบเร็วๆ คือพอๆ กับสวีเดนหมด เรียกว่าก็โอเคในมาตรฐานยุโรป แต่ไปดูตัวเลขจริงๆ ไม่ได้เยอะกว่าชาวบ้าน หรือพูดง่ายๆ ก็คือจีนน่าจะมีความสามารถในการรับมือคนไข้สูงกว่าประเทศนอร์ดิกทุกประเทศ

และถ้าไปดูตัวเลขการฉีดวัคซีน ประเทศพวกนี้ก็ฉีดพอๆ กับชาติอื่นๆ ในยุโรป วัคซีนที่ใช้ก็ตัวเดียวกัน ดังนั้นคำอธิบายมันน่าจะไม่อยู่ตรงนี้แน่ๆ

คำตอบอยู่ที่ความเหลื่อมล้ำ

แล้วเกิดอะไรขึ้นกับสวีเดน?

คำตอบน่าจะกลับไปที่ไฮไลต์ของประเทศแถบนี้ ที่แม้ว่าจะมีความต่างกันในทางวัฒนธรรมพอควร แต่สิ่งที่มีร่วมกันก็คือ ประเทศกลุ่มนี้ติดอันดับประเทศที่คุณภาพชีวิตสูงที่สุดในโลกมาตลอด เรียกกันว่าวนๆ กันได้ที่ 1 แต่ถึงตกไป ปกติก็ไม่ลงจาก Top 5

ทำไมประเทศแถบนี้คนถึงตายเพราะโควิดน้อย?

หลักๆ แล้ว เราอาจเห็นคำตอบจากรอบๆ ตัวเราก็ได้ โดยต้องเริ่มถามก่อนว่าทำไมคนตายเพราะโควิดซึ่งโดยทั่วๆ ไปคำตอบมาตรฐานก็คือเพราะมีโรคประจำตัว

สิ่งที่เราต้องถามต่อก็คือ แล้วทำไมคนมีโรคประจำตัว?

พันธุกรรมอาจเป็นคำตอบบางส่วน แต่ถ้าเราศึกษาดีๆ ก็จะรู้ว่าพฤติกรรมมีส่วนสำคัญไม่น้อย และในความเป็นจริง ในหมู่คนมีเงินที่ดูแลตัวเองดีๆ การมีโรคพวกนี้ไม่ใช่ปัญหา และไม่ได้ชี้วัดว่าจะตายหรือไม่จากโควิด

ใช่ครับ เรากำลังบอกว่าความจนนี่แหละคือปัจจัยเสี่ยงในการตายจากโควิดที่สุด? เพราะในบ้านเราก็คงจะเห็นว่า คนที่ล้มตายส่วนใหญ่เลยคือคนจน” (ซึ่งก็ไม่ได้บอกว่าคนไม่จนจะไม่ตาย ประเด็นคือถ้าจน โอกาสตายจะสูงกว่ามาก”)

และถ้าเราเริ่มแบบนี้คำตอบจะชัดเลยว่าทำไมสวีเดนและชาตินอร์ดิกถึงมีคนตายจากโควิดน้อย

เพราะแถวนี้ไม่มีคนจนครับ

ประเทศนอร์ดิก จุดเด่นที่สุดคือ มีความเหลื่อมล้ำต่ำมากๆ ซึ่งต่างจากประเทศรวยๆ อย่างอเมริกาหรือกระทั่งฝรั่งเศสและเยอรมนี ที่ยังไงความเหลื่อมล้ำก็สูงกว่ามาก

แน่นอน เราคงไม่ต้องพูดถึงเรื่องชัดๆ ที่ว่าถ้าเป็นคนอเมริกัน คุณไม่มีสิทธิ์ไปหาหมอด้วยซ้ำถ้าคุณไม่ซื้อประกันสุขภาพเอาไว้ แต่ในความเป็นจริง แม้แต่ในฝรั่งเศสหรือเยอรมนีที่ระบบสาธาณสุขฟรี หากคุณเป็นคนจน โดยทั่วๆ ไปคุณก็จะมีโอกาสดูแลตัวเองน้อยกว่าคนที่มีเงินอยู่แล้ว และโอกาสในการดูแลตัวเองที่น้อยกว่า มันก็จะนำมาซึ่งโรคประจำตัวสารพัดในช่วงวัยกลางคน และสิ่งพวกนี้มันไปเพิ่มความเสี่ยงที่จะตายจากโควิดทั้งนั้น

แต่พวกประเทศนอร์ดิกต่างไปยังไง?

เอาง่ายๆ ทำงานประเทศแถบนี้รายได้คุณสูง (เพราะสหภาพแรงงานต่อสู้เรื่องค่าแรงมาก) คุณก็ไม่ต้องทำงานเยอะ แล้วจริงๆ ชั่วโมงทำงานประเทศแถบนี้ก็น้อย พวกวันหยุดยังหยุดยาวกันเป็นเดือน คือการลางานไปเที่ยวเป็นเดือนๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสำหรับประชากรนอร์ดิก นี่คือพื้นฐานชีวิตของเขา

และนี่ยังไม่ต้องพูดถึงสวัสดิการด้านการช่วยเลี้ยงลูกอีกสารพัดอันเป็นตำนานของประเทศอย่างสวีเดน ที่ช่วยโอบอุ้มไม่ให้สาวๆ ที่มีลูกสูญเสียโอกาสในชีวิต (และทำให้สวีเดนเป็นประเทศที่ถือว่าผู้หญิงมีสิทธิ์สูงอันดับต้นๆ ของโลกมาช้านาน)

พูดเข้าประเด็นเลยก็คือระบบสังคมของนอร์ดิก ทำให้คุณมีชีวิตแล้วสุขภาพดี ทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกาย และถ้าร่างกายคุณดีโดยพื้นฐานทั้งสังคม คุณเจอโควิดเข้าไป มันก็ทำอะไรไม่ได้เท่าไรหรอกนอกจากคุณจะซวยจริงๆ

และนี่ทำให้คุณแทบจะอยู่คนละโลกเลยกับสังคมเหลื่อมล้ำสูงๆ ที่คนจนต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำทั้งๆ ที่มีโควิด และต้องเสี่ยงตายมากกว่าคนที่มั่งมีกว่าอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะจากพื้นฐานด้านสุขภาพ หรือการเข้าถึงระบบสาธารณสุข

ทั้งนี้ นี่เป็นเพียงสมมติฐานเท่านั้น คำอธิบายจริงๆ มันอาจเป็นแบบอื่นก็ได้ แต่ก็อย่างที่เราบอก ไม่ได้เป็นแค่สวีเดน แต่เป็นทั้งกลุ่มประเทศนอร์ดิกเลย ดังนั้นก็ไม่แปลกเลยที่หลังโควิด สิ่งที่เรียกว่าความมหัศจรรย์ของนอร์ดิกจะมาหลอกหลอนทั้งชาวโลกและนักวิเคราะห์อีกครั้ง

และก็อย่างที่บอก คำตอบอาจไม่ใช่เรื่องวัคซีนหรือระบบสาธารณสุขอะไรเลย แต่มันเป็นระบบสังคมที่คนมีคุณภาพชีวิตสูง และทำให้สุขภาพดีตามมา และเราอาจต้องการแค่นั้นเองในการเผชิญหน้าโรคระบาดในอนาคตที่คาดเดาไม่ได้ว่าจะเป็นโรคอะไร

และถ้าจะพูดกันโหดๆ แล้ว การมองจากกลุ่มประเทศนอร์ดิกมายังที่อื่นๆ ในโลก เราก็จะเห็นเลยว่า คนไม่ได้ตายกันเยอะๆ เพราะโควิดหรอก แต่สาเหตุการตายจริงๆ น่ะ มันคือเรื่องความเหลื่อมล้ำ

โควิดไม่ได้ฆ่าคุณ ความเหลื่อมล้ำต่างหากที่ฆ่าคุณ

อ้างอิง: 

  • Insider. No-lockdown Sweden broke with most of the world and didn’t require face masks. Those who wear them say they’re treated with suspicion and abuse. https://bit.ly/2VwmU8U
  • RT. Mask-free Sweden nears zero daily Covid deaths as chief epidemiologist warns against ‘far-reaching conclusions’ about Delta strain. https://bit.ly/37qZSCT
  • New Scientist. Is Sweden’s coronavirus strategy a cautionary tale or a success story? https://bit.ly/3ywwY02
  • The New Yorker. Sweden’s Pandemic Experiment. https://bit.ly/3Ar8eXL
  • Statista. Coronavirus (COVID-19) deaths worldwide per one million population as of July 30, 2021, by country https://bit.ly/3lKNbLs
  • Wikipedia. List of countries by hospital beds .https://bit.ly/3AlzUNz